ทส. ผนึกกำลัง 7 กระทรวง เพิ่มขีดความสามารถประเทศไทย รับมือวิกฤตโลกเดือด เชื่อมโยงเป้าหมายการปรับตัวระดับโลก สู่ระดับประเทศ

วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ผนึกกำลัง 7 กระทรวงลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ “การบูรณาการเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายใต้แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ” เพิ่มขีดความสามารถประเทศไทยในการรับมือและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เชื่อมโยงเป้าหมายการปรับตัวระดับโลก ระดับประเทศ สู่การปฏิบัติระดับท้องถิ่น โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานในพิธีพร้อมลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ ร่วมกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และนายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อีกทั้ง ได้รับเกียรติจาก นายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมพิธี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ ปัจจุบันรูปแบบของภูมิอากาศทั่วโลกในบางพื้นที่เริ่มเปลี่ยนแปลงและเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับอดีตก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งประเทศไทยจะเผชิญความเสี่ยงที่รุนแรงและยากต่อการคาดการณ์มากขึ้น โดยรัฐบาลให้ความสำคัญกับวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเป็นวาระเร่งด่วน ซึ่งที่ผ่านมาได้จัดทำแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (NAP) ที่สอดคล้องกับเป้าหมายด้านการปรับตัวระดับโลก ที่ให้ความสำคัญกับ 6 สาขาที่มีความเสี่ยง ได้แก่ การจัดการทรัพยากรน้ำ เกษตรและความมั่นคงทางอาหาร สาธารณสุข การท่องเที่ยว การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และการตั้งถิ่นฐานและความมั่นคงของมนุษย์ ดังนั้น การดำเนินงานระหว่างสาขา จะต้องสอดคล้องและบูรณาการ โดยเฉพาะข้อมูลความเสี่ยงภัย การคาดการณ์ผลกระทบและความรุนแรง การเตือนภัยล่วงหน้า รวมถึงการอพยพและฟื้นฟูสถานการณ์ ซึ่งความร่วมมือระหว่าง 7 กระทรวง จึงถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยลดความสูญเสียและความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงสร้างความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและสร้างภูมิคุ้มกันของประเทศในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
ด้าน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า จากการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 29 หรือ COP29 ที่ผ่านมา ได้มีการพิจารณากรอบในการจัดทำตัวชี้วัดเป้าหมายด้านการปรับตัวระดับโลก เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการฟื้นตัวจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขณะที่ล่าสุดประเทศไทยได้ถูกจัดอันดับประเทศเสี่ยงสูงด้านสภาพภูมิอากาศระยะยาวในช่วง 30 ปี (ปี ค.ศ. 1993-2022) อยู่ในอันดับที่ 30 ซึ่งลดลงจากอันดับ 9 เทียบกับ 4 ปีที่แล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงในอันดับต้นแล้ว แต่ประเทศไทยยังคงต้องเผชิญกับผลกระทบต่างๆ อย่างต่อเนื่อง จึงมีความจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินการเรื่องการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม เชื่อมโยงเป้าหมายด้านการปรับตัวระดับโลกและระดับประเทศสู่ระดับจังหวัดและท้องถิ่นอย่างบูรณาการและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้บูรณาการการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง 6 สาขา ประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยมีการลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข เมื่อเดือนมิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา สำหรับในวันนี้นับว่าเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่างกระทรวง ครบทั้ง 6 สาขา ซึ่งแต่ละสาขามีเป้าหมาย ดังนี้
1) การจัดการทรัพยากรน้ำ : เพิ่มความมั่นคงด้านน้ำของประเทศ ลดความสูญเสียและเสียหายจากภัยพิบัติที่เกิดจากน้ำ
2) เกษตรและความมั่นคงทางอาหาร : รักษาผลิตภาพการผลิตและความมั่นคงทางอาหาร ภายใต้ความเสี่ยงและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
3) การท่องเที่ยว : เพิ่มขีดความสามารถของภาคการท่องเที่ยวให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืนและรองรับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
4) สาธารณสุข : มีระบบสาธารณสุขที่สามารถจัดการความเสี่ยงและลดผลกระทบต่อสุขภาพจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5) การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ : บริหารจัดการทรัพยากรธรรมขาติและความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน เพื่อรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
6) การตั้งถิ่นฐานและความมั่นคงของมนุษย์ : ประชาชน ชุมชน และเมืองมีความพร้อมและขีดความสามารถในการปรับตัวต่อความเสี่ยงและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่
ทั้งนี้ หลังจากการลงนามในบันทึกความเข้าใจความร่วมมือฯ แล้ว กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม จะดำเนินการหารืออย่างใกล้ชิดกับหน่วยประสานงานกลางรายสาขาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินงานร่วมกัน และเตรียมความพร้อมในการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรายสาขา ซึ่งจะเป็นกรอบการดำเนินงานหลักที่ถ่ายทอดสู่การปฏิบัติทั้งในระดับหน่วยงานและระดับพื้นที่ ตลอดจนสนับสนุนให้เกิดงานวิจัย นวัตกรรม ข้อมูลสารสนเทศและองค์ความรู้เรื่องความเสี่ยงและการปรับตัว สนับสนุนการดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ สร้างความตระหนักรู้ให้กับกลุ่มเปราะบาง เสริมสมรรถนะในการปรับตัวต่ออันตรายและภัยพิบัติจากธรรมชาติในทุกรูปแบบ ให้ประเทศไทยมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืน

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน ร่วมลงนาม Phuket Sandbox ปักหมุด Green Destination ภูมิภาคอาเซียน

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน “Andaman Sustainable Tourism Forum 2025” และพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือ Green Hotel Plus Phuket Sandbox โดยมี นายโกเมศ พุทธสอน รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้แทนลงนามในบันทึกความร่วมมือ Green Hotel Plus Phuket Sandbox ร่วมกับ 9 หน่วยงาน ได้แก่ กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) องค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต มูลนิธิพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน สมาคมโรงแรมไทย สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต สมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ณ โรงแรมภูเก็ตเมอร์ลิน อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ความร่วมมือดังกล่าว เป็นการยกระดับธุรกิจท่องเที่ยวและปักหมุดการเป็น Green Destination ในภูมิภาคอาเซียนโดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมที่พักในจังหวัดภูเก็ต. มูลนิธิพัฒนาการท่องเที่ยวยั่งยืน. จึงมีแนวทางความร่วมมือกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม…เพื่อส่งเสริมให้โรงแรมที่พักในจังหวัดภูเก็ตให้ได้รับการรับรอง Green Hotel Plus จากกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม จำนวนไม่น้อยกว่า 600 แห่ง ภายในปี 2569 และขอเสนอโครงการ Phuket Green Hotel Plus sandbox ในการเป็นยุทธศาสตร์สำคัญเพื่อเป็นพื้นที่นำร่องของการเข้ารับรองมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

DCCE ร่วมกับ UNDP จัดประชุมคณะกรรมการกำกับโครงการจัดทำรายงานความโปร่งใสรายสองปี ฉบับที่ 1 และรายงานแห่งชาติฉบับที่ 5 ร่วมกับรายงานความโปร่งใสรายสองปี ฉบับที่ 2 (NC5/BTR2) เสนอต่อ UNFCCC ครั้งที่ 1/2568

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานกรรมการ ร่วมกับ Ms.Niamh Collier-Smith Resident Representative UNDP ประจำประเทศไทย นางสาวกานดา ชูแก้ว รองเลขาธิการ สผ. รองประธานกรรมการ นายศิวัช แก้วเจริญ ผู้อำนวยการกองขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจก กรรมการและเลขานุการ ผู้แทนกองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ และผู้แทนกองขับเคลื่อนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ (รางน้ำ) กรุงเทพฯ โดยมีผู้เข้าร่วมการประชุมฯ จำนวน 30 ท่าน ประกอบด้วย ผู้แทนจาก UNDP หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งการประชุมฯ ในวันนี้ เพื่อพิจารณา (1) แผนงานและงบประมาณการดำเนินงานโครงการจัดทำรายงานความโปร่งใสรายสองปี ฉบับที่ 1 (BTR1) และรายงานแห่งชาติ ฉบับที่ 5 รวมกับรายงานความโปร่งใสรายสองปี ฉบับที่ 2 (NC5/BTR2) เสนอต่อกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประจำปี พ.ศ. 2568 และ (2) การเปลี่ยนหน่วยดำเนินการ (Implementing Partner: IP) ของโครงการฯ
ประชุมฯ มีมติเห็นชอบต่อแผนงานและงบประมาณการดำเนินโครงการฯ ประจำปี พ.ศ. 2568 ที่ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) การจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจก (2) การติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินการของ NDC (3) การรวบรวมข้อมูลผลกระทบและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (4) ข้อมูลด้านการเงิน การถ่ายทอดและพัฒนาเทคโนโลยี การสนับสนุนการเสริมสร้างขีดความสามารถที่จำเป็น (5) ข้อมูลอื่น ๆ (เพศสภาวะ การวิจัย การสร้างเครือข่าย) (6) การจัดประชุมการอบรม และ (7) การติดตามประเมินผล และเห็นชอบให้เปลี่ยนหน่วยดำเนินการของโครงการฯ จากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่งมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับบทบาทและภารกิจ

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

Flexitarian-กินมังฯ แบบยืดหยุ่น เทรนด์บริโภคใหม่ช่วยลดโลกร้อน

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหนึ่งในวิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อมที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยที่วงจรชีวิตและห่วงโซ่อุปทานของผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก การศึกษาจากแคนาดาในปี 2010 เตือนว่า หากการผลิตปศุสัตว์ทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2050 คาร์บอนที่ปล่อยจากภาคปศุสัตว์เพียงอย่างเดียวอาจผลักดันให้โลกเข้าสู่ภาวะโลกร้อนที่ไม่สามารถควบคุมได้ โดยอุณหภูมิโลกอาจสูงเกิน 2 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะสร้างความเสียหายต่อความมั่นคงของระบบนิเวศในระดับโลก (1)
แม้ปัญหานี้จะดูใหญ่และซับซ้อน แต่จุดเริ่มต้นของการแก้ไขสามารถเริ่มได้จากระดับบุคคล โดยที่การลดการบริโภคผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์เพียง 25% จะสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมของมนุษย์ทั่วโลกได้ถึง 12.5% การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ นี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบจากการผลิตปศุสัตว์ต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งผลในระดับมหภาคที่ช่วยฟื้นฟูสมดุลของระบบนิเวศและลดความรุนแรงของภาวะโลกร้อนในระยะยาวอีกด้วย (1)
ปัจจุบันการบริโภคอาหารแบบที่เรียกว่า Flexitarian (คำผสมระหว่าง Flexible และ Vegetarian) หรือการกินมังสวิรัติแบบยืดหยุ่น กำลังได้รับความสนใจในฐานะทางออกสำคัญต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมจาก “การกิน”แนวทางนี้ไม่ได้หมายถึงการละเว้นเนื้อสัตว์ทั้งหมด แต่เน้นการลดปริมาณการบริโภคเนื้อสัตว์ลงและเพิ่มพืชเป็นแหล่งโปรตีนหลัก เพื่อสร้างสมดุลให้กับสุขภาพและธรรมชาติ (3)
การลดปริมาณเนื้อสัตว์ในมื้ออาหารและเพิ่มพืชเป็นแหล่งโปรตีนสำคัญไม่เพียงช่วยลดภาวะโลกร้อนเท่านั้น งานวิจัยใน Science Advances ชี้ว่า การลดการบริโภคเนื้อสัตว์และเพิ่มพืชสามารถช่วยให้อุณหภูมิโลกคงที่ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเกษตร เช่น ก๊าซมีเทนและไนตรัสออกไซด์ รวมถึงลดผลกระทบต่อทรัพยากรน้ำ และความหลากหลายทางชีวภาพ นอกจากนี้ ยังช่วยลดต้นทุนทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ รวมถึงความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ และคาดว่าจะลดต้นทุนการลดคาร์บอนได้ถึง 43% ภายในปี 2050 (2)
การรับประทานมังสวิรัติแบบยืดหยุ่นสามารถทำได้ง่ายและปรับให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่หลากหลาย การลดปริมาณเนื้อสัตว์ เช่น การงดมื้อเนื้อสัปดาห์ละครั้ง หรือการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากพืชแทนเนื้อสัตว์ในบางมื้อ เป็นการเริ่มต้นที่มีประสิทธิภาพ โดยในหลายประเทศ เช่น เบลเยียม บราซิล และเยอรมนี ได้เริ่มโครงการส่งเสริมการลดบริโภคเนื้อสัตว์ในโรงเรียนและสถานที่ทำงานแล้ว ซึ่งเป็นแรงผลักดันสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ (1)
ยิ่งไปกว่านั้น ตลาดอาหารจากพืชกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในสหรัฐฯ มีมูลค่าถึง 7,400 ล้านดอลลาร์ในปี 2021 ยอดขายโปรตีนและนมจากพืชเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยโปรตีนจากพืชเติบโตถึง 74% ในสามปี ขณะที่นมทางเลือก เช่น ถั่วเหลืองและอัลมอนด์ เติบโต 33% แนวโน้มนี้สะท้อนถึงการที่ผู้บริโภคทั่วโลกเริ่มลดการบริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์และหันมาเลือกอาหารที่ยั่งยืนมากขึ้น (3)
นอกจากนี้ การสำรวจพบว่า ตลาดเนื้อสัตว์ทางเลือกทั่วโลกจะเติบโตจาก 7,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2021 สู่ 17,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2026 การลดการบริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์ยังช่วยลดการใช้พื้นที่เกษตรกรรม โดยปัจจุบันพื้นที่กว่า 80% ใช้เลี้ยงสัตว์หรือปลูกอาหารสัตว์ ซึ่งสามารถเปลี่ยนมาใช้ปลูกพืชสำหรับคนได้มากขึ้น (3)
ระบบอาหารที่พึ่งพาปศุสัตว์อย่างหนักเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำคัญ โดยคิดเป็น 1 ใน 3 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก ปศุสัตว์ในภาคอุตสาหกรรมใช้น้ำและพื้นที่อย่างมหาศาลถึง 77% ของพื้นที่เพาะปลูกทั่วโลกสำหรับปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ ขณะที่พื้นที่เพียง 23% ใช้ปลูกพืชอาหารเพื่อมนุษย์โดยตรง หากผู้คนยังคงพึ่งพาปศุสัตว์ในรูปแบบเดิม เมื่อประชากรโลกเพิ่มขึ้นจาก 7,900 ล้านคนในปัจจุบันเป็น 10,000 ล้านคนภายในปี 2050 จะต้องใช้พื้นที่เกษตรกรรมเพิ่มขึ้นเท่ากับพื้นที่ของประเทศไทยถึง 12 ประเทศ ซึ่งเกินขีดจำกัดของโลกในปัจจุบัน (4)
การบริโภคเนื้อสัตว์ที่มากเกินไป โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ และออสเตรเลีย ไม่เพียงแต่ทะลุ “เขตจำกัดของโลก” (Planetary Boundaries) แต่ยังเกิน “เขตสุขภาพ” (Healthy Boundary) ถึง 2 เท่า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของโรคไม่ติดต่อ (NCDs) เช่น โรคหัวใจและเบาหวาน การเปลี่ยนมาบริโภคอาหารแบบ Flexitarian ที่เน้นโปรตีนจากพืชและลดเนื้อสัตว์ในมื้ออาหารสามารถช่วยแก้ปัญหาด้านสุขภาพได้ นักวิจัยคาดว่า หากปรับพฤติกรรมนี้อย่างกว้างขวางจะสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพได้ถึง 1.6 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 5.6 ล้านล้านบาทต่อปี พร้อมทั้งสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และรักษาสมดุลของโลกอย่างยั่งยืน (4)
การเปลี่ยนพฤติกรรมการกินไม่จำเป็นต้องทำแบบสุดโต่งหรือยกเครื่องใหม่ทั้งหมด ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า การเริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลงวันหรือสองวันต่อสัปดาห์ เป็นวิธีที่ง่ายและไม่สร้างความกดดัน นอกจากนี้ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทางเลือกจากพืช เช่น อาหารจากพืช ไส้กรอก หรือผลิตภัณฑ์นมทางเลือกอย่างนมอัลมอนด์และโยเกิร์ตมะพร้าว ยังช่วยให้การปรับตัวเป็นเรื่องที่ไม่น่าเบื่อและสร้างความหลากหลายในมื้ออาหารอีกด้วย (5)
สำหรับผู้ที่เริ่มต้น การลองค้นหาร้านอาหารที่มีเมนูอาหารมังสวิรัติหรือวีแกนในละแวกใกล้บ้าน หรือลองทำอาหารง่าย ๆ ที่ลดเนื้อสัตว์โดยเพิ่มถั่วแทนนับเป็นตัวเลือกที่ดี นอกจากนี้ การวางแผนมื้ออาหารล่วงหน้าจะช่วยให้การเปลี่ยนมาสู่การบริโภคแบบยืดหยุ่นทำได้ง่ายขึ้น และยังช่วยให้ผู้บริโภคมีโอกาสสนุกกับการทดลองสูตรอาหารใหม่ ๆ ที่ทั้งอร่อย และดีต่อสุขภาพ (5)
ในอนาคต การกินมังสวิรัติแบบยืดหยุ่น หรือ Flexitarian อาจกลายเป็นแนวทางหลักที่กำหนดทิศทางการบริโภคอาหารทั่วโลก การปรับลดการบริโภคเนื้อสัตว์และเพิ่มอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไม่ได้ส่งผลดีต่อสุขภาพของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างสมดุลให้กับระบบนิเวศ การมีส่วนร่วมของทุกคนในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภค แม้เพียงเล็กน้อย สามารถสร้างผลลัพธ์เชิงบวกที่ยิ่งใหญ่ และยั่งยืนต่ออนาคตของโลกใบนี้ได้

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
(1) Flexitarianism : flexible or part-time vegetarianism. Department of Economic and Social Affiars : Sustainable Development. United Nations
(2) Plant-heavy ‘flexitarian’ diets could help limit global heating, study finds. The Guardian.
(3) Vegan, Vegetarian or flexitarian? 3 ways to eat more sustainably. Industries in Depth. WORLD ECONOMIC FORUM.
(4) iGreen. ปลุกกระแส ‘ปฏิรูประบบอาหาร’ ลดก๊าซมีเทนรับมือ Climate Change
(5) Part-time vegan : The case for going flexitariann in 2024. The New Zealand herald.

เปลี่ยนขยะอาหารเป็นปุ๋ยหมัก สร้างสังคมคาร์บอนต่ำสู่ลูกหลาน

ขยะอาหาร (Food Waste) ที่มีปริมาณมากขึ้นและกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องจัดการ มาจากหลายปัจจัยทั้งการเพิ่มขึ้นของประชากรเมือง ประเภทอาหารที่หลากหลายและการบริโภคมากขึ้น ฯลฯ แต่อีกสาเหตุและมีส่วนสำคัญก็คือการไม่คัดแยกขยะ ไม่นำเศษอาหารที่เหลือจากการบริโภคไปใช้ประโยชน์ต่อ ทำให้ขยะอาหารกลายเป็นปฏิกูลที่ต้องจัดการด้วยการฝังกลบเป็นจำนวนมาก
ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษปี 2566 ประเทศไทยผลิตขยะมูลฝอยรวมกว่า 25.70 ล้านตัน หรือเฉลี่ย 70,411 ตันต่อวัน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นขยะอินทรีย์ เช่น ขยะเน่าเสียและย่อยสลายได้เร็วอย่างเศษอาหารมีสัดส่วนสูงถึง 49.03% ในจำนวนนี้มีขยะมูลฝอยที่ถูกกำจัดอย่างถูกวิธีเพียง 38% ส่วนที่เหลือถูกกำจัดอย่างไม่ถูกต้องหรือปล่อยตกค้าง และก่อให้เกิดมลพิษต่อดิน น้ำ และอากาศ (1)
หากเราไม่มีความเข้าใจมากพอก็อาจทำให้เชื่อไปในทำนองว่า เมื่อขยะเน่าเสียเหล่านี้ถูกขนไปฝังกลบ ปัญหาก็จบลงแค่นั้น หารู้ไม่ว่าการจัดการขยะอินทรีย์ด้วยวิธีการฝังกลบในหลุมจะทำให้เกิดการปล่อยก๊าซมีเทน คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 60% ของก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากพื้นที่ฝังกลบ ซึ่งถือเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อน อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมในบริเวณชุมชนใกล้เคียงไม่ว่าแหล่งน้ำหรือดิน ตลอดจนมีผลต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนผู้อยู่อาศัยใกล้บ่อขยะ โดยข้อมูลของ IPCC ระบุว่า แหล่งฝังกลบขยะเป็นแหล่งปล่อยก๊าซมีเทนจากกิจกรรมมนุษย์ที่สูงเป็นอันดับสามของโลก (1)
คนไทยสร้างขยะอาหารเฉลี่ยปีละ 86 กิโลกรัมต่อคน สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 79 กิโลกรัมต่อคน โดยสาเหตุสำคัญเกิดจากพฤติกรรมการบริโภคเกินความจำเป็น การซื้ออาหารที่มากเกินไป รวมถึงการจัดเก็บอาหารที่ไม่เหมาะสม ซึ่งนั่นเท่ากับการบริโภคอาหารที่มากขึ้นเป็นหนึ่งในสาเหตุการสร้างมลภาวะและสภาพแวดล้อมที่ไม่น่าอยู่อาศัย (2)
ขยะอาหารที่เกิดขึ้นไม่ได้เพียงส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจและสังคม ข้อมูลจากรายงาน Food Waste Index 2024 ระบุว่า ขยะอาหารทั่วโลกมีปริมาณมากถึง 1,052 ล้านตัน หรือคิดเป็น 19% ของอาหารทั้งหมดในตลาด แต่ในขณะเดียวกันยังมีประชากรกว่า 783 ล้านคนทั่วโลกที่ยังคงประสบปัญหาความหิวโหย (3)
องค์การสหประชาชาติ (UN) กำหนดเป้าหมายให้ทุกประเทศต้องลดปริมาณขยะอาหารให้ได้ 50% ภายในปี 2030 (พ.ศ. 2573) ซึ่งภายในปีเดียวกันนี้ไทยเองก็ได้ตั้งเป้าลดขยะอาหารลงครึ่งหนึ่งด้วย หรือประมาณ 3 ล้านตันต่อปี เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของ UN รวมทั้งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากขยะอาหาร และสร้างความมั่นคงด้านอาหาร (2)
แนวทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาขยะอาหารเพื่อสร้างสังคมคาร์บอนต่ำก็คือ “การหมักเศษอาหาร” หรือการเปลี่ยนขยะอาหารให้กลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ที่สามารถนำไปใช้ในภาคเกษตรได้ ซึ่งการใช้ถังหมักเศษอาหารในครัวเรือนช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทน และช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ถึง 14 เท่า เมื่อเทียบกับการฝังกลบ (4) อีกแนวทางสำคัญคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค เช่น การซื้ออาหารตามความจำเป็น การจัดเก็บอาหารให้เหมาะสม และการนำอาหารเหลือมาแปรรูปเป็นเมนูใหม่ เพื่อลดปริมาณขยะอาหารตั้งแต่ต้นทาง (5)
ในระดับชุมชน มีการจัดตั้งโครงการธนาคารอาหาร เช่น โครงการ “ไม่เทรวม” และ “ธนาคารอาหาร” ซึ่งเป็นตัวอย่างของความพยายามในการลดปริมาณขยะ โครงการเหล่านี้เน้นการส่งต่ออาหารส่วนเกินไปยังกลุ่มเปราะบางในสังคม พร้อมทั้งรณรงค์การคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายในการกำจัดอาหารส่วนเกิน และสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมด้วย (5)
ในต่างประเทศอย่างเช่น ฝรั่งเศสและญี่ปุ่น ได้พัฒนามาตรการลดขยะอาหารที่ประสบความสำเร็จ โดยฝรั่งเศสออกกฎหมายบังคับให้ร้านค้าบริจาคอาหารส่วนเกิน ขณะที่ญี่ปุ่นใช้เทคโนโลยีในการติดตามและลดขยะอาหารทำให้สามารถลดขยะได้ถึง 31% ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา (3) (5)
หากเราไม่เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ รู้หรือไม่ว่าอาหารทุกจานที่รับประทานเข้าไปส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก โดยคิดเป็น 8-10% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก โดยการผลิตอาหารเหล่านั้นต้องใช้พื้นที่เกษตรกรรมเกือบ 30% ของโลก ดังนั้นเพื่อช่วยดูแลโลกให้น่าอยู่ การทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหารจึงเป็นอีกวิธีการที่ไม่ยากและสามารถลดผลกระทบได้ อย่างน้อยที่สุดการหมักขยะอินทรีย์จะช่วยเบี่ยงเบนขยะจากการฝังกลบ ซึ่งเท่ากับช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทนและป้องกันมลพิษต่าง ๆ เช่น ไฟไหม้และกลิ่นเหม็นไปในตัว นอกจากนี้ ปุ๋ยหมักยังนำไปปรับปรุงคุณภาพดิน และสามารถทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีได้อีกด้วย (7) (8)
การทำปุ๋ยหมักสามารถทำได้ทั้งในระดับครัวเรือนและชุมชนที่มีพื้นที่เอื้ออำนวย โดยการใช้ภาชนะ เช่น ถังน้ำ หม้อดินเผา หรือในระดับท้องถิ่นก็สามารถรวมกลุ่มกันทำปุ๋ยหมักในชุมชนได้ ซึ่งการนำขยะอาหารไปทำปุ๋ยหมักนั้นสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 2,100 ล้านตัน ภายในปี 2050 (พ.ศ. 2593) ถือเป็นวิธีการที่ยั่งยืน ลงมือทำได้ไม่ยาก และช่วยสร้างสังคมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น (7) (8)
การนำเทคโนโลยีมาช่วยก็มีความสะดวกในการลดขยะอาหารได้มาก เช่น ใช้แอปพลิเคชันช่วยเตือนวันหมดอายุอาหาร หรือวางแผนซื้ออาหารอย่างเหมาะสม ซึ่งจะทำให้การตัดสินใจซื้ออาหารมีความสอดคล้องกับความต้องการบริโภคที่แท้จริง และจะช่วยลดปริมาณขยะอาหารอย่างเห็นผล (6)
นอกจากนี้ สามารถต่อยอดขยะอาหารเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจได้ด้วย เช่น การแปรรูปขยะอาหารเป็นพลังงานชีวภาพ หรือการสร้างสินค้าใหม่จากวัสดุชีวมวล ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดการสูญเสียทรัพยากร แต่ยังสร้างรายได้เพิ่มเติมให้กับชุมชนได้ด้วย (2)
อย่างไรก็ตาม การลดขยะอาหารให้ประสบความสำเร็จ และสามารถก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดนี้นอกจากคุณภาพชีวิตที่ดีของทุกคนแล้วยังช่วยสร้างโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมไปพร้อม ๆ กัน
ความตระหนักต่อปัญหาขยะอาหารและการเริ่มต้นลงมือทำไม่มีคำว่าสายเกินไป ทั้งเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและลงมือเปลี่ยนขยะให้เป็นปุ๋ย ผู้ลงมือทำในวันนี้จะเป็นพลเมืองที่มีความกระตือรือร้นและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัว นอกจากมีส่วนช่วยลดก๊าซเรือนกระจกแล้ว ยังเป็นการส่งต่อความยั่งยืนสำหรับอนาคตของลูกหลานรุ่นต่อไปอีกด้วย

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
(1) กรุงเทพมหานคร, ไม่เทรวม, คู่มือการจัดการขยะอินทรีย์
(2) ธนาคารกสิกรไทย, ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, คนไทยสร้างขยะอาหาร (Food Waste) เฉลี่ย 86 กิโลกรัม/คน/ปี
(3) Food Waste Index Report 2024, UN : Environment Programme.
(4) กรุงเทพธุรกิจ, จะดีไหมถ้าเรามีถังหมักทำปุ๋ยจากขยะเศษอาหาร ที่ลดโลกร้อนได้
(5) TEI : Thailand Environment Institute, ลดโลกร้อน เริ่มต้นจาก “จานอาหาร” ของเรา
(6) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, 10 วิธีลดขยะอาหาร (Food Waste) ลดโลกร้อน
(7) Composting : Solution to Food Loss and Waste., UN : Environment Programme.
(8) United Nations., วันรณรงค์ลดการสูญเสียและขยะอาหารสากล 29 กันยายน

สัญญาณดีสู้โลกร้อน Climate Risk Index 2025 ไทยหลุดอันดับประเทศเสี่ยงสูง จาก 9 ไป 30

กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยข้อมูล จากรายงาน Climate Risk Index 2025 โดย Germanwatch จัดอันดับประเทศเสี่ยงสูงด้านสภาพภูมิอากาศระยะยาวในช่วง 30 ปี (1993-2022) โดยประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 30 ลดลงจากอันดับ 9 เทียบกับ 4 ปีที่แล้ว (ช่วงปี 2000-2019) แต่ยังต้องเตรียมพร้อมตั้งรับและปรับตัวกับสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนภายใต้ภาวะโลกเดือดอย่างต่อเนื่อง
วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า จากรายงาน Climate Risk Index 2025 โดย Germanwatch ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ได้ระบุว่าในช่วงปี 1993-2022 ภัยพิบัติทางธรรมชาติคร่าชีวิตคนกว่า 765,000 คน และสร้างความเสียหายเกือบ 4.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อันเป็นผลโดยตรงจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วมากกว่า 9,400 ครั้ง ซึ่งผลกระทบที่สำคัญที่สุดจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว ได้แก่ พายุ (35%) คลื่นความร้อน (30%) และอุทกภัย (27%) ที่เป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิต โดยอุทกภัยส่งผลกระทบต่อประชากรมากที่สุด คิดเป็นครึ่งหนึ่งของผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมด ขณะที่พายุก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากที่สุด คิดเป็น 56% ของมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจทั้งหมด หรือประมาณ 2.33 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาคือ อุทกภัย คิดเป็น 32% หรือประมาณ 1.33 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ จัดทำขึ้นโดยใช้ข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เช่น ฐานข้อมูลเหตุการณ์ภัยพิบัติระดับสากล (EM-DAT) ธนาคารโลก (World Bank) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) โดยพิจารณาจากตัวชี้วัดหลัก ได้แก่ จำนวนผู้เสียชีวิต จำนวนประชากรที่ได้รับผลกระทบ และความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว เช่น พายุ น้ำท่วม คลื่นความร้อน ภัยแล้ง ไฟป่า วิธีการนี้จะสามารถเปรียบเทียบผลกระทบของภัยพิบัติในประเทศต่าง ๆ และสะท้อนถึงแนวโน้มของความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศในแต่ละปี และแนวโน้มระยะยาว 30 ปี
รายงานฉบับนี้ ระบุว่า ในปี 2022 ประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรง 10 อันดับ ได้แก่ ปากีสถาน เบลีซ อิตาลี กรีซ สเปน เปอร์โตริโก สหรัฐอเมริกา ไนจีเรีย โปรตุเกส และบัลแกเรีย ตามลำดับ ซึ่งทุกประเทศล้วนเผชิญกับพายุ น้ำท่วม และคลื่นความร้อนที่รุนแรง ในกรณีของปากีสถานเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,700 คน และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ส่วนอิตาลีและกรีซต้องเผชิญกับคลื่นความร้อนที่ทำให้อุณหภูมิพุ่งสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และเกิดไฟป่าขนาดใหญ่ที่สร้างความเสียหายอย่างหนัก สำหรับดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศระยะยาว (1993-2022) ประเทศที่มีความเสี่ยงมากที่สุด แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1) ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่เกิดขึ้นอย่างผิดปกติอย่างรุนแรง เช่น โดมินิกา ฮอนดูรัส เมียนมา และวานูอาตู 2) ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ เช่น จีน อินเดีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งรายงานเตือนว่า แนวโน้มสภาพอากาศสุดขั้วกำลังกลายเป็น “ความปกติใหม่” โดยเหตุการณ์ที่เคยถูกมองว่าเป็นเรื่องผิดปกติ กำลังกลายเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยขึ้น และรุนแรงขึ้น
นอกจากนี้ ได้ระบุว่า ในปี 2022 ประเทศไทยมีค่าดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Risk Index: CRI) อยู่ในอันดับที่ 72 แสดงถึงผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วของไทยลดลง เมื่อเทียบกับปี 2019 ที่อยู่ในอันดับ 34 ในขณะที่ค่าดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศระยะยาว ที่ประเมินผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วในช่วงระยะเวลา 30 ปี (1993-2022) พบว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 30 แสดงถึงผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วของไทยในระยะยาว ลดลงเมื่อเทียบกับ 4 ปีที่แล้ว ที่อยู่ในอันดับ 9 โดยขณะนั้นเป็นการประเมินผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วในช่วงระยะเวลา 20 ปี (2000-2019) ซึ่งสาเหตุที่อันดับของประเทศไทยลดลงอย่างมาก มาจากหลายปัจจัย เช่น ตลอดช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ประเทศอื่น ๆ เผชิญกับความสูญเสียและความเสียหายจากภัยพิบัติทางสภาพอากาศที่รุนแรงกว่า สำหรับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยลดลงเนื่องจากการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การปรับปรุงวิธีการประเมินดัชนีความเสี่ยง ซึ่งเพิ่มตัวชี้วัดจำนวนประชากรที่ได้รับผลกระทบ และปรับเปลี่ยนช่วงระยะเวลาที่นำมาใช้ในการประเมินดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศระยะยาว จากเดิม 20 ปี เป็น 30 ปี
“ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะไม่ติดอันดับต้น ๆ ของประเทศที่มีความเสี่ยงสูงแล้ว แต่ประเทศไทยจะยังคงเผชิญกับผลกระทบต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น อุณหภูมิที่สูงเป็นประวัติการณ์ในช่วงฤดูร้อน ภัยแล้ง ปริมาณฝนที่ตกหนักผิดปกติ จนส่งผลให้เกิดน้ำท่วม ดินถล่ม เป็นต้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเตรียมความพร้อมรับมือและการปรับตัวให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพระบบเตือนภัยล่วงหน้า ให้มีความแม่นยำ การสื่อสารที่เข้าถึงประชาชนอย่างทันท่วงที การพัฒนาระบบการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อช่วยลดอุณหภูมิโลก เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยและคนไทยมีภูมิคุ้มกันต่อภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ท่ามกลางภัยพิบัติที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต” ดร.พิรุณ กล่าวทิ้งท้าย

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

ภาพรวม… แผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ. 2564 – 2573

เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ สอดคล้องกับเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (หรือ NDC) ที่ร้อยละ 30 – 40 จากกรณีปกติ ณ ปี พ.ศ.2573 โดยแผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ.2564 – 2573 นี้ จัดเป็นแผนระดับ 3 ที่บูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานรับผิดชอบหลักรายสาขา ทั้ง 5 สาขา ดังนี้
– สาขาพลังงาน โดยสำนักงานโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน
– สาขาคมนาคมขนส่ง โดยสำนักงานนโยบายและแผนการจราจรและขนส่ง (สนข.) กระทรวงคมนาคม
– สาขากระบวนการทางอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม
– สาขาการจัดการของเสียชุมชนและน้ำเสียอุตสาหกรรม โดยกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ
– สาขาเกษตร โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยมีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) เป็นหน่วยประสานงานกลางของประเทศ
คณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 เห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ. 2564 – 2573 โดยกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไว้ที่ 222.3 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2eq) หรือ ร้อยละ 40 ณ ปี พ.ศ. 2573 ซึ่งแบ่งเป็น… เป้าหมายที่ สามารถดำเนินการได้เองในประเทศ (หรือ Unconditional) 184.8 MtCO2eq (หรือร้อยละ 33.3)
เป้าหมายที่สามารถดำเนินการได้ก็ต่อเมื่อ ได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ (หรือ Conditional) 37.5 MtCO2eq (หรือร้อยละ 6.7)
** ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการควบคุมอุณหภูมิของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส แผนฉบับนี้ได้กำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกอีก ไม่เกินร้อยละ 3 ในกรณีที่ใช้กลไกบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ หรือ Article 6
โดยเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก ณ ปี พ.ศ. 2573 ที่ประเทศไทยต้องดำเนินการเองให้ได้ คือ 184.8 MtCO2eq (หรือร้อยละ 33.3) แบ่งเป็นสาขาต่าง ๆ ดังนี้
– สาขาพลังงาน 124.6 MtCO2eq
– สาขาคมนาคมขนส่ง 45.6 MtCO2eq
– สาขาการจัดการของเสียชุมชนและน้ำเสียอุตสาหกรรม 9.1 MtCO2eq
– สาขากระบวนการทางอุตสาหกรรมฯ 1.4 MtCO2eq
– สาขาเกษตร 4.1 MtCO2eq
ในส่วนของเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกลงอีก 6.7 % และ 3% ประเทศไทยจะสามารถดำเนินการได้ก็ต่อเมื่อได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ และใช้กลไก Article 6

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

NDC Action Plan 2021-2030_Final (2025.04.09)

โจทย์ท้าทาย COP28 สู่ COP29 การเปลี่ยนผ่านพลังงานฟอสซิล

ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 28 หรือ COP28 เมื่อปี 2566 ซึ่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ทำหน้าที่ประธานการประชุมได้บรรลุข้อตกลง “เปลี่ยนผ่านพลังงานฟอสซิล” (Transition away from fossil fuel) เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เพื่อพยายามไม่ให้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกเลวร้ายลงไปกว่านี้ และจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงเกินกว่า 1.5 องศาเซลเซียส (°C) เมื่อเทียบกับยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยสาระสำคัญภายใต้ข้อตกลงนี้จะเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานทดแทนเป็นสามเท่าทั่วโลก ภายในปี พ.ศ.2573 และเพิ่มอัตราการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานโดยเฉลี่ยทั่วโลกเป็นสองเท่า ภายในปี พ.ศ.2573 (1)
การตั้งเป้า Triple UP, Double Down หรือการเพิ่มปริมาณพลังงานสะอาดให้ได้สามเท่าและพัฒนาประสิทธิภาพพลังงานให้ดีขึ้นสองเท่าที่ว่า จำเป็นต้องเกิดความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยมีภาคเอกชนเข้ามาช่วยเติม และนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวเร่ง แต่ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากประเทศที่ไม่มีคนและเทคโนโลยีพร้อม จะให้เลิกใช้ฟอสซิลทันทีคงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นในการประชุม COP29 จึงจะมีการเปิดกว้างให้คนทุกกลุ่มได้เข้ามามีส่วนร่วม เช่น ชนพื้นเมือง เยาวชน กลุ่มคนในพื้นที่ขัดแย้ง หรือกลุ่มอาชีพที่อยู่ในอุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิล เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างเป็นธรรม (A Just and Equitable Energy Transition) ซึ่งกลุ่มประเทศตะวันออกกลางยอมรับว่ายังไงก็ไม่สามารถออกจากฟอสซิลได้ คำว่า Transition ของเขาคือ ลด ละ แต่ไม่เลิก แค่จะไม่เสพติดพลังงานจากฟอสซิลอีกต่อไป (2)
ทำให้การประชุม COP29 ทั่วโลกจับตามองกระบวนการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่มุ่งเน้นการลดการใช้พลังงานฟอสซิลและหันมาใช้พลังงานหมุนเวียนที่มากขึ้น แต่ทว่าอุตสาหกรรมพลังงานโลกยังมีข้อจำกัดในทางปฏิบัติที่อาจเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งในขณะนั้นประธาน COP28 จึงได้ริเริ่มโครงการ “Energy Transition Changemakers” มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมความร่วมมือจากภาคเอกชนในการพัฒนาโครงการลดการปล่อยมลพิษที่มีนวัตกรรมและขยายผลได้ทั่วโลก พร้อมทั้งแสดงให้เห็นถึงวิธีการแก้ปัญหาที่ช่วยสนับสนุน และเร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (3)
บริษัทและองค์กรทุกขนาดจากทั่วโลกสามารถสมัครเข้าร่วมได้ โดยโครงการทุกประเภทในสี่ภาคส่วนสำคัญมีสิทธิ์จะได้รับการพิจารณา ได้แก่ การใช้พลังงานทดแทน การบูรณาการพลังงานทดแทนและพลังงานสะอาด ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำ และภาคการปล่อยก๊าซหนัก เช่น เหล็ก ซีเมนต์ และอลูมิเนียม ทว่าในหลายประเทศยังมีแหล่งพลังงานหลักมาจากฟอสซิล (3)
การประชุม COP28 ได้ปิดฉากพร้อมกับข้อตกลงที่ส่งสัญญาณถึง “จุดเริ่มต้นของจุดสิ้นสุด” ยุคเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยปูทางสู่การเปลี่ยนผ่านที่รวดเร็ว เป็นธรรม และเท่าเทียม สนับสนุนด้วยการลดการปล่อยมลพิษอย่างจริงจังและการระดมทุนที่เพิ่มขึ้น ในสัญลักษณ์ของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันระดับโลกจากผู้แทนเกือบ 200 ประเทศที่ไปรวมตัวกันที่ดูไบ และมีมติร่วมกันเกี่ยวกับ “การทบทวนระดับโลก” เป็นครั้งแรกของโลก ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มระดับการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศก่อนสิ้นทศวรรษนี้ โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อรักษาขีดจำกัดอุณหภูมิโลกที่ไม่เกิน 1.5°C (4)
การทบทวนระดับโลก (Global Stocktake) ถือเป็นผลลัพธ์สำคัญของ COP28 เนื่องจากครอบคลุมองค์ประกอบทุกด้านที่อยู่ระหว่างการเจรจา และจะถูกนำไปใช้โดยประเทศต่าง ๆ ในการพัฒนาแผนปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น ซึ่งมีกำหนดส่งภายในปี 2568 การทบทวนดังกล่าวยอมรับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ระบุว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกต้องลดลง 43% ภายในปี 2573 เมื่อเทียบกับระดับในปี 2562 เพื่อจำกัดภาวะโลกร้อนให้อยู่ที่ 1.5°C ซึ่งจะว่าไปในขณะนี้ประเทศต่าง ๆ ยังไม่สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายความตกลงปารีสได้ (4)
การทบทวนเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ดำเนินการระดับโลกเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนให้ได้สามเท่า และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานเป็นสองเท่าภายในปี 2573 รวมถึงเร่งลดการใช้พลังงานจากถ่านหิน โดยที่ไม่มีการดำเนินการใด ๆ เพื่อลดมลพิษหรือจัดการกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การยุติการอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ไม่มีประสิทธิภาพ และมาตรการอื่น ๆ ที่ช่วยผลักดันการเปลี่ยนผ่านพลังงานให้ปราศจากเชื้อเพลิงฟอสซิลในลักษณะที่เป็นธรรม มีระเบียบ และเท่าเทียม ประเทศพัฒนาแล้วยังคงต้องเป็นผู้นำในการดำเนินการ (4)
ในระยะสั้น มีการสนับสนุนให้ประเทศต่าง ๆ เสนอเป้าหมายการลดการปล่อยมลพิษที่ครอบคลุมทั้งเศรษฐกิจ ซึ่งครอบคลุมก๊าซเรือนกระจกทุกชนิด ทุกภาคส่วน และทุกประเภท พร้อมทั้งสอดคล้องกับขีดจำกัด 1.5°C ในแผนปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศรอบถัดไป (การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด หรือ NDC) ซึ่งจะต้องยื่นภายในปี 2568 (4)
ทว่าการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในประเทศที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกพลังงานฟอสซิลเป็นหลัก อาทิ รัสเซียและซาอุดิอาระเบีย ซึ่งต้องเผชิญกับการปรับตัวอย่างเร่งด่วนเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ (5)
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ความต้องการพลังงานโลกที่ยังคงสูงและยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การลดพลังงานฟอสซิลเป็นเรื่องท้าทาย แม้ว่าโลกจะมีความคืบหน้าในการเปลี่ยนผ่านจากการใช้พลังงานฟอสซิลไปสู่พลังงานหมุนเวียนอย่างรวดเร็วในบางภาคส่วน เช่น การผลิตไฟฟ้าและยานพาหนะพลังงานไฟฟ้า แต่ยังมีภาคส่วนอื่น ๆ ที่ปรับเปลี่ยนได้ช้ากว่าที่คาดไว้ เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก ปูนซีเมนต์ การขนส่งทางเรือ และการบิน การลงทุนในพลังงานหมุนเวียนยังไม่เพียงพอที่จะทดแทนโครงสร้างพื้นฐานพลังงานฟอสซิลทั้งหมด ส่งผลให้การลดก๊าซเรือนกระจกไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากการขาดกฎระเบียบที่ชัดเจนและการลงทุนที่ต่อเนื่องทั่วโลก นอกจากนี้ ต้นทุนการเปลี่ยนแปลงยังสูงมาก ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาประสบปัญหาในการยกระดับมาตรฐานการดำรงชีวิตโดยไม่เพิ่มการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (6)
ดังนั้น ความสำคัญอยู่ที่การสร้างนโยบายที่มั่นคงและส่งเสริมการลงทุนเพื่อให้การเปลี่ยนผ่านนี้ดำเนินไปอย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพ แม้ว่าอาจต้องใช้เวลา แต่ความสำเร็จในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีสะอาดที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้ถือเป็นสัญญาณบวกที่อาจช่วยให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างรวดเร็วและทั่วถึงในอนาคต (6)
การที่พลังงานหมุนเวียนยังไม่สามารถเข้ามาทดแทนฟอสซิลได้เต็มรูปแบบนั้น เป็นเหตุผลที่หลายประเทศยังต้องคงการใช้พลังงานฟอสซิลไว้ ซึ่งเป็นประเด็นที่หลายประเทศพยายามหาทางออกเพื่อให้การเปลี่ยนผ่านพลังงานเกิดขึ้นอย่างยั่งยืน และเป็นธรรมต่อประเทศที่ยังพึ่งพาแหล่งพลังงานเหล่านี้ (7)
อย่างไรก็ดี องค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) เชื่อว่าในระยะยาวการเปลี่ยนผ่านพลังงานจะเป็นไปได้ หากทุกประเทศมีการวางแผนที่ดีด้านนโยบายและได้รับการสนับสนุนด้านการเงิน รวมถึงเทคโนโลยีจากประเทศที่พัฒนาแล้ว นอกจากนั้น ประเทศต่าง ๆ ยังต้องให้ความสำคัญกับการปรับตัวในระบบเศรษฐกิจเพื่อให้รองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ซึ่งรวมถึงการลดการพึ่งพาน้ำมันและการลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานสะอาดเพื่อเป็นทางออกที่ยั่งยืนสำหรับการผลิตพลังงาน (8)
ท้ายที่สุดนี้ การเปลี่ยนผ่านพลังงานฟอสซิลไม่ใช่แค่การเลือกใช้พลังงานสะอาดเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นการวางแผนระบบพลังงานที่สมดุลและตอบโจทย์การใช้พลังงานที่ยังมีอยู่ การเปลี่ยนผ่านอย่างมีประสิทธิภาพจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม เมื่อความท้าทายการเปลี่ยนผ่านพลังงานยังคงอยู่ การประชุมสุดยอดสภาพภูมิอากาศโลกที่ผ่านมานี้จึงเป็นก้าวย่างสำคัญในการสร้างการพูดคุยระหว่างประเทศต่าง ๆ เพื่อวางแผนและกำหนดทิศทางการใช้พลังงานให้เกิดความเป็นธรรม และไม่สร้างภาระต่อสิ่งแวดล้อมในอนาคต

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
(1) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. สถาบันการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน (สพท.). ศูนย์องค์ความรู้ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. Output/Outcomes COP28 โลกได้อะไร.
(2) iGreen. จับตา COP29 ลดพลังงานอย่างไร เมื่อกลุ่มตะวันออกกลางไม่เลิกฟอสซิล.
(3) COP28
(4) COP28 Agreement Signals “Beginning of the End” of the Fossil Fuel Era., UNFCCC : United Nations Framework Convention on Climate Change., United Nations Climate Change.
(5) Russia’ Great Energy Game in the Middle East., CARNEGIE : Endowment for International Peace.
(6) Why aren’t we reducing our reliance on fossil fuels faster?, World Economic Forum.
(7) Energy Transition Outlook : Renewables still not replacing fossil fuels in the global energy mix., DNV
(8) World Energy Outlook shows there are set to be almost 10 times as many electric cars on the road, with renewables nearing half of the global power mix, but much stronger policies needed for 1.5 °C., The energy world is set to change significantly by 2030, based on today’s policy settings alone., IEA

รู้หรือไม่… การซื้อเสื้อผ้ามือสอง ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้เพียบ

ในยุคที่ความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โลกกำลังเผชิญ “ปัญหาขยะ” ที่สะสมในปริมาณมหาศาล โดยเฉพาะขยะสิ่งทอที่เป็นหนึ่งในปัญหาหลักทางด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันอุตสาหกรรมสิ่งทอปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 10% ของทั่วโลก และมีการคาดการณ์ว่าปริมาณเสื้อผ้าที่ผลิตใหม่จะเพิ่มขึ้นสามเท่าในอีก 30 ปีข้างหน้า หากไม่มีการปรับเปลี่ยนวิธีการบริโภค ขยะสิ่งทอที่เกิดจาก “แฟชั่น” อาจทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่มีที่สิ้นสุด (1)
การวิจัยพบว่าเส้นใยเพื่อการผลิตสินค้าโดยเฉพาะเสื้อผ้าแฟชั่นทั่วโลกเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนแตะระดับสูงสุดที่ 116 ล้านตันในปี 2565 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้ว่าปริมาณการผลิตจะเพิ่มขึ้นทุกปี แต่ในทางกลับกันอัตราการรีไซเคิลสิ่งทอกลับลดลงจาก 8.5% ในปี 2564 เหลือเพียง 7.9% ในปี 2565 นอกจากนี้ เส้นใยที่รีไซเคิลได้ส่วนใหญ่ยังมาจากขวดพลาสติก ไม่ใช่จากสิ่งทอที่ถูกใช้แล้วจริง ๆ โดยมีเพียงน้อยกว่า 1% เท่านั้นที่มาจากการรีไซเคิลสิ่งทอทั้งก่อนและหลังการใช้งานของผู้บริโภค (1)
ยิ่งไปกว่านั้น เสื้อผ้ายังถูกผลิตใหม่กว่า 100,000 ล้านชิ้นต่อปีทั่วโลก ซึ่งสร้างขยะสิ่งทอในแต่ละปีมากถึง 92 ล้านตัน หรือคิดเป็น 7% ของขยะในหลุมฝังกลบทั้งหมด และอุตสาหกรรมสิ่งทอปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 10% ของทั้งหมดทั่วโลก ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจเมื่อเทียบกับการปล่อยมลพิษจากอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งรวมกัน (2)
ดังนั้น ข้อดีของการซื้อสินค้ามือสองไม่เพียงแต่ช่วยลดขยะที่เกิดขึ้นจากการผลิตสินค้าใหม่ แต่ยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในหลายมิติ การวิจัยพบว่า การซื้อเสื้อผ้ามือสองสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 42% ลดการใช้พลังงานสะสม 27-42% (1) และลดการใช้น้ำได้ถึง 336 ลิตรต่อชิ้น (3)
ตลาดสินค้ามือสองทั่วโลกมีแนวโน้มว่า กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทว่าจากข้อมูลของ Loop Generation รายงานว่า แม้ 63% ของคนอังกฤษซื้อสินค้ามือสอง แต่ในตู้เสื้อผ้าของพวกเขามีเพียง 1-10% เท่านั้นที่เป็นสินค้ามือสอง ซึ่งสะท้อนว่า “ฟาสต์แฟชั่น” (Fast fashion) ยังคงครองตลาด การผลิตและทิ้งเสื้อผ้าอย่างต่อเนื่องนี้ทำให้เกิดขยะสิ่งทอที่ย่อยสลายได้ยากจำนวนมหาศาล และสร้างปัญหามลพิษต่อดิน น้ำ และอากาศ (2)
การใช้น้ำในกระบวนการผลิต เช่น การผลิตกางเกงยีนส์หนึ่งตัวใช้น้ำถึง 7,570 ลิตร หรือการปล่อยสารเคมีและมลพิษที่ส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ำธรรมชาติ การผลิตเส้นใยสังเคราะห์ เช่น โพลีเอสเตอร์ ยังทำให้ “ไมโครพลาสติก” เล็ดลอดสู่มหาสมุทรถึง 500,000 ตันต่อปี ซึ่งส่งผลเสียต่อระบบนิเวศและเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ เมื่อสะสมในร่างกายมนุษย์ในปริมาณมากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง หรือขัดขวางการทำงานของหลอดเลือด และส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวอย่างรุนแรง (4)
เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ การเลือกสินค้ามือสองยิ่งเป็นทางเลือกที่ให้ผลลัพธ์เชิงบวกอย่างมาก ในปี 2022 คนอเมริกันซื้อเสื้อผ้ามือสองรวมกันกว่า 1,400 ล้านชิ้น เพิ่มขึ้นถึง 40% จากปีก่อนหน้า ซึ่งช่วยลดความต้องการผลิตเสื้อผ้าใหม่ลง อีกทั้งตลาดสินค้ามือสองยังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในกลุ่ม “คนรุ่นใหม่” โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Millennials ที่เริ่มตระหนักถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และมองว่าแฟชั่นยั่งยืนเป็นสิ่งสำคัญ การสำรวจพบว่า 61% ของคนกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับเทรนด์ความยั่งยืน และเลือกสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (3)
ข้อแนะนำการเลือกบริโภคอย่างยั่งยืน (5)(6)
– เลือกใช้ก่อนซื้อใหม่ ตรวจสอบว่ามีสินค้ามือสองหรือสินค้ารีไซเคิลที่ตอบโจทย์การใช้งานหรือไม่
– บริจาคหรือขายต่อ แทนที่จะทิ้งสินค้าที่ไม่ใช้แล้ว ลองบริจาคหรือขายต่อ เพื่อให้สินค้ามีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น
– สนับสนุนร้านค้าท้องถิ่น การซื้อสินค้ามือสองจากร้านค้าในชุมชนช่วยสร้างรายได้และส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น
– คำนึงถึงคุณภาพ เลือกสินค้ามือสองที่มีคุณภาพดี เพื่อให้ใช้งานได้ยาวนานและลดความจำเป็นต้องซื้อใหม่บ่อยครั้ง
นอกจากนี้ การซื้อสินค้ามือสองยังช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน โดยร้านขายของมือสองส่วนใหญ่ดำเนินงานโดยองค์กรการกุศล ซึ่งรายได้จากการขายถูกนำไปสนับสนุนโครงการพัฒนาชุมชนและช่วยเหลือผู้ขาดแคลน การสนับสนุนร้านเหล่านี้จึงเป็นการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ช่วยลดการใช้ทรัพยากรใหม่ (5)
อย่างไรก็ดี สินค้ามือสองไม่ได้จำกัดแค่เสื้อผ้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งบ้าน ซึ่งช่วยลดปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์และลดความต้องการแร่ธาตุหายาก การเลือกใช้อุปกรณ์มือสองยังช่วยลดมลพิษจากกระบวนการผลิตใหม่ และลดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมในประเทศผู้ผลิต (6)
ดังนั้น การเลือกใช้สินค้ามือสองไม่ใช่เพียงการประหยัดเงินหรือการลดขยะ แต่คือการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ทุกครั้งที่เราตัดสินใจใช้สิ่งของที่ยังมีคุณค่าแทนการผลิตใหม่ เรากำลังช่วยยืดอายุการใช้งานของทรัพยากร ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างสมดุลใหม่ให้กับระบบนิเวศ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญที่ส่งต่อคุณค่าให้กับโลก สร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับพวกเราทุกคน

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
(1) Do We Save the Environment by Buying Second-Hand Clothes? The Environmental Impacts of Second-Hand Textile Fashion and the Influence of Consumer Choices., Circular Economy.
(2) Why Buying Second-Hand Clothes Matters., Loop Generation.
(3) ไทยรัฐออนไลน์, Future Perfect, เสื้อผ้ามือสอง กำลังช่วยหยุดโลกจากหายนะสิ่งแวดล้อม
(4) ไทยรัฐออนไลน์, Future Perfect, Fast Fashion ความเร็วที่ทำให้โลกไม่ยั่งยืน
(5) 5 Ways Thrift Shopping Helps the Environment., FORT BEND WOMEN’S CENTER.
(6) SECONDHAND101, CENTER for BIOLOGICAL DIVERSITY.

ทำไม… ประเทศไทย ต้องส่งการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC)

จากการประชุม COP ครั้งที่ 21 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี พ.ศ. 2558 ได้เกิดข้อตกลงร่วมกันของประเทศภาคีสมาชิกกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (หรือ United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) ขึ้นมาเรียกว่า “ความตกลงปารีส” (Paris Agreement) ที่มีข้อกำหนดให้ทุกประเทศภาคีสมาชิก UNFCCC จะต้องมีเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ประเทศไทยในฐานะประเทศภาคีสมาชิก UNFCCC ได้จัดส่ง เป้าหมายระยะยาว หรือ ที่เรียกว่า “ยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ” (Thailand’s Long-term greenhouse gas emission development strategy : LT-LEDs) และเป้าหมายระยะสั้น หรือ “การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด” (Nationally Determined Contribution) ให้กับ UNFCCC เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565
“ยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ” หรือ LT-LEDs เป็นเสมือน “เข็มทิศ” ใน การพัฒนาประเทศ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย ความเป็นกลางทางคาร์บอน ในปี พ.ศ. 2593 และ ก๊าชเรือนกระจก สุทธิเป็นศูนย์ ในปี พ.ศ. 2608 โดยมีมาตรการหลักที่สำคัญ ได้แก่
– การส่งเสริมการใช้ปูนชีเมนต์ไฮดรอลิค และการปลูกข้าวแบบปล่อยก๊าซมีเทนต่ำ ภายในปี พ.ศ. 2568
– ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า และลดการใช้ยานยนต์สันดาปภายใน ภายในปี พ.ศ. 2573
– ส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์ ภายในปี พ.ศ. 2578
– เพิ่มพื้นที่ป่าและพื้นที่สีเขียวให้ได้ ร้อยละ 55 ของพื้นที่ประเทศไทย ภายในปี พ.ศ. 2580 (ตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ)
– ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี CCS CCUS BECCS รวมทั้งเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนให้ได้ ร้อยละ 68 ภายในปี พ.ศ. 2583
– ส่งเสริมการใช้พลังงานไฮโดรเจน ภายในปี พ.ศ. 2588
– ยุติการใช้ถ่านหินในการผลิตกระแสไฟฟ้า และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนให้ได้ ร้อยละ 74 ภายในปี พ.ศ. 2590 (ซึ่งเป็นปีเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศ)
ส่วน “การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด” ฉบับที่ 1 หรือ NDC1 ที่ประเทศไทยได้จัดส่ง UNFCCC ไปนั้น ประเทศไทยได้กำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง ร้อยละ 30 ถึง 40 จากกรณีปกติ หรือ BAU ภายในปี พ.ศ. 2573
BAU หรือ Business As Usual หมายถึง ค่าประมาณการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย ณ ปี พ.ศ. 2573 ในกรณีที่ประเทศไทยมิได้ดำเนินการใดๆ เลย ซึ่งคาดประเทศไทยจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 555 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
ร้อยละ 30 หมายถึง เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในกรณีที่เป็นการดำเนินการเองภายในประเทศ หรือคิดเป็น 167 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าและอีก ร้อยละ 10 หมายถึง เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในกรณีที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ ทั้งในด้านงบประมาณและเทคโนโลยี หรือคิดเป็น 55 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”