กรมลดโลกร้อน จัดประชุมคณะกรรมการกำกับโครงการนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพ (Climate Policy and Biodiversity Project) ครั้งที่ 1/2568

เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (กรมลดโลกร้อน) จัดการประชุมคณะกรรมการกำกับโครงการนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพ (Climate Policy and Biodiversity Project) ครั้งที่ 1/2568 ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ ชั้น 3 อาคารกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดยมี ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ให้เกียรติเป็นประธานและรองประธาน 3 คน ประกอบด้วย (1) นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (2) นายทรงเกียรติ ตาตะยานนท์ รองเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ (3) นายทีโม เมนนิเคน ผู้อำนวยการองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมันประจำประเทศไทย
โครงการ Climate Policy and Biodiversity Project เป็นโครงการความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทยและสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี มีระยะเวลาดำเนินการระหว่างปี พ.ศ. 2565 – 2570 โดยมีวัตถุประสงค์ในการสนับสนุนการพัฒนา และขับเคลื่อนนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพของไทยโดยในการประชุมดังกล่าว มีการรับทราบหนังสือแลกเปลี่ยน (Exchange of Note) โครงการฯ คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับโครงการฯ และการดำเนินงานของโครงการในช่วงที่ผ่านมา (พ.ศ.2565 – 2567) รวมถึงเห็นชอบแผนการดำเนินโครงการฯ ในระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2568 – 2570) และพิจารณาให้ข้อเสนอแนะเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเชื่อมโยงและบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีความสอดคล้องกับนโยบายและเป้าหมายของประเทศต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน จัดประชุมเสริมพลังเครือข่ายเด็กและเยาวชน สร้าง Empowerment for Climate Action

​วันพุธที่ 29 มกราคม 2568 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมศักยภาพเครือข่ายเด็กและเยาวชนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ณ โรงแรมชาโต เดอ เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา โดยได้รับเกียรติจาก นายโกเมศ พุทธสอน รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในการมอบนโยบายพร้อมให้กำลังใจเสริมพลังเครือข่ายเด็กและเยาวชนในการขับเคลื่อนงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดยมีผู้เข้าร่วมจากเครือข่ายเด็กและเยาวชนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (CCE Children & Youth) ทั้งในระบบและนอกระบบการศึกษา ประจำปี 2568 ประกอบด้วย อาจารย์ที่ปรึกษาชมรมอนุรักษ์ฯ ของมหาวิทยาลัย ประธานเครือข่ายเด็กและเยาวชนจากองค์กรต่างๆ และผู้แทนเด็กและเยาวชนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม จำนวน 73 เครือข่าย รวมจำนวนทั้งสิ้น 220 คน โดยการจัดงานในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมศักยภาพและทักษะของเครือข่ายเด็กและเยาวชนในการดำเนินโครงการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม สู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งเสริมเครือข่ายเด็กและเยาวชนด้านสิ่งแวดล้อมในการปรับตัวให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เสริมพลัง Empowerment For Climate Action ของเครือข่ายเด็กและเยาวชนในการขับเคลื่อนโครงการ และพัฒนาเครือข่ายเยาวชนด้านสิ่งแวดล้อมให้สอดรับกับแนวทางการแก้ไขปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามสถานการณ์แผนและนโยบายระดับประเทศและระดับนานาชาติ

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน จัดประชุมคณะอนุกรรมการจัดทำข้อเสนอโครงการฯ กัดเซาะชายฝั่ง ครั้งที่ 1/2568

​ วันพุธที่ 29 มกราคม 2568 นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการจัดทำข้อเสนอโครงการศึกษาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บริเวณพื้นที่อ่าวไทยตอนบน (กรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดสมุทรสาคร) ครั้งที่ 1/2568 ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ ชั้น 3 อาคารกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดยมี ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีฯ และนางสาวระเบียบ ภูผา ผู้อำนวยการกองขับเคลื่อนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ โดยให้ความสำคัญเรื่องการกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งและการปกป้องพื้นที่กรุงเทพมหานคร อันเป็นผลสืบเนื่องจากเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล ซึ่งประกอบด้วย
1. การศึกษาสถานการณ์ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล บริเวณพื้นที่อ่าวไทยตอนบน (กรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดสมุทรสาคร) ตั้งแต่อดีตถึง ปัจจุบัน แนวทางการแก้ไขปัญหาและช่องว่างของการดำเนินงานที่ผ่านมา
2. การจัดทำภาพฉายแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลบริเวณพื้นที่อ่าวไทย ตอนบน (กรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดสมุทรสาคร) ภายใต้ฉากทัศน์การคาดการณ์ เศรษฐกิจและสังคมในอนาคตรูปแบบต่าง ๆ (Shared Socioeconomic Pathways: SSP) และแนวโน้มของการกัดเซาะชายฝั่งโดยพิจารณาร่วมกับปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น แนวทางการบริหารจัดการน้ำ เป็นต้น รวมถึงการวิเคราะห์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมที่อาจจะเกิดขึ้นของแต่ละฉากทัศน์
3. การศึกษาผลกระทบของการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลต่อการเกิดเพิ่มขึ้นของ ระดับน้ำในแม่น้ำและการรุกตัวของน้ำเค็มพร้อมเสนอแนวทางจัดการน้ำเพื่อลดผลกระทบดังกล่าว
4. การศึกษาความเหมาะสมของมาตรการฟื้นฟูพื้นที่ชายฝั่งที่สูญเสียจากการถูก กัดเซาะ บริเวณพื้นที่อ่าวไทยตอนบน (กรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดสมุทรสาคร) ตั้งแต่ อดีตถึงปัจจุบัน รวมถึงศึกษาความจำเป็นและความเป็นไปได้ของการถมทะเล เพื่อรองรับการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างยั่งยืนและป้องกันปัญหาการกัดเซาะและการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลในระยะยาว
5. การศึกษาความเหมาะสมของมาตรการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งและการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บริเวณพื้นที่อ่าวไทยตอนบน (กรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดสมุทรสาคร) ในรูปแบบต่างๆ ทั้งมาตรการโครงสร้างแบบแข็ง (Hard Structure) เช่น เขื่อนกันคลื่น เป็นต้น และมาตรการโครงสร้างแบบอ่อน (Soft Structure) เช่น การเติมทราย เป็นต้น รวมถึงแนวคิดการประยุกต์ใช้แนวคิดการแก้ไขปัญหาโดยใช้ธรรมชาติเป็นฐาน (Nature-based Solution : NbS)
6. การเสนอทางเลือกในการป้องกันและแก้ไขปัญหาและการวิเคราะห์เปรียบเทียบ ความคุ้มค่าของแต่ละทางเลือก โดยพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ทีครอบคลุมผลกระทบและผลประโยชน์ร่วมทั้ง ด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม การลดหรือการกักเก็บก๊าซเรือนกระจก รวมถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น
7. การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Environment Assessment : SEA) โดยผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียในพื้นที่
8. การจัดทำแผนงานป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและการเพิ่มขึ้น ของระดับน้ำทะเลเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บริเวณพื้นที่อ่าวไทยตอนบน (กรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดสมุทรสาคร) ซึ่งเป็นแผนระยะยาวที่สอดคล้องกับสถานการณ์การกัดเซาะ และการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลในแต่ละช่วงเวลา โดยแผนดังกล่าว ควรประกอบด้วย มาตรการที่เหมาะสม การสำรวจและออกแบบเบื้องต้น กรอบระยะเวลาดำเนินงาน งบประมาณ และการประเมินความคุ้มค่า ทางเศรษฐศาสตร์
9. การศึกษาโครงสร้างเชิงสถาบันหรือกลไกที่เหมาะสมในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน ตามแผนงานป้องกันปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลเนื่องจากการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ บริเวณพื้นที่อ่าวไทยตอนบน (กรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดสมุทรสาคร) โดยมีรายละเอียดต่าง ๆ เช่น รูปแบบของการดำเนินงาน แหล่งงบประมาณ หน่วยงานที่รับผิดชอบ กฎหมาย หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น พร้อมรับทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดทำข้อเสนอโครงการศึกษาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศบริเวณพื้นที่อ่าวไทยตอนบน (กรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดสมุทรสาคร) และคณะอนุกรรมการฯ ได้ร่วมกันพิจารณาข้อมูลและผลการศึกษาที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปจัดทำข้อเสนอโครงการศึกษาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บริเวณพื้นที่อ่าวไทยตอนบน (กรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดสมุทรสาคร) ต่อไป ซึ่งการประชุมดังกล่าว ประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ จำนวน 60 คน

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

สส.จัดกิจกรรมส่งมอบปฏิทินเก่าเพื่อผู้พิการทางสายตา

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2568 นายวัฒน์ ทาบึงกาฬ เลขานุการกรม ส่งมอบปฏิทินเก่าและกล่องพัสดุเหลือใช้ ให้กับศูนย์เทคโนโลยีการศึกษาเพื่อคนตาบอด จังหวัดนนทบุรี รวมจำนวน 350 กิโลกรัม ภายใต้กิจกรรมจิตอาสาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีสมมงคลพระชนมายุเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราชฯ ซึ่งปฏิทินเก่าที่รวบรวมได้ดังกล่าว นำไปผลิตเป็นสื่อการเรียน การสอน ช่วยเหลือผู้พิการทางสายตา และยังสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 735 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

ตรุษจีนยั่งยืน สร้างโลกสีเขียว ลดโลกร้อน

“ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้” เทศกาลตรุษจีน เวียนมาบรรจบอีกครั้ง หรือเป็นวาระแห่งการเฉลิมฉลองสู่การขึ้นปีใหม่ของผู้ที่มีเชื้อสายจีนทั่วโลก นำพาความสุขและความปิติมาสู่ทุกครัวเรือน แต่รู้หรือไม่ว่า ประเพณีที่เรารักและปฏิบัติสืบทอดกันมาอย่างยาวนานนั้น อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยไม่รู้ตัว แล้วเราจะฉลองตรุษจีนอย่างไรให้มีความสุขและยังคงรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน ?
(1) เปลี่ยนเสื้อแดงตัวเก่า ให้เป็นลุคใหม่ : การมีเสื้อผ้าใหม่ต้อนรับปีใหม่ก็เป็นเรื่องดี แต่การนำเสื้อผ้าที่มีอยู่มาปรับเปลี่ยนให้ดูใหม่ก็เป็นไอเดียที่เจ๋งไม่แพ้กันเลยค่ะ นอกจากจะประหยัดเงินแล้ว ยังเป็นการช่วยลดปริมาณขยะจากเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใช้
(2) จุดประทัดออนไลน์ : การจุดประทัดทำให้เกิดเขม่าควันจากการเผาไหม้ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพและระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะในเด็กและผู้สูงวัย การจุดประทัดออนไลน์จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ โดยการเปิดเสียงประทัดผ่านลำโพงในระดับเสียงที่เหมาะสม ทั้งยังเป็นการช่วยสืบสานแนวทางปฏิบัติแบบเดิมไว้และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน
(3) เปลี่ยนไปใช้ธูป/เทียนไฟฟ้า : ควันที่เกิดขึ้นจากการจุดธูปเทียนส่งผลเสียต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างมาก ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ การเปลี่ยนมาใช้ธูปเทียนไฟฟ้าจึงเป็นอีหนึ่งทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะธูปเทียนไฟฟ้าไม่ก่อให้เกิดควันรวมทั้งสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้หลายครั้ง
(4) โอนเงินแทนซองแดง : ลดการใช้กระดาษโดยโอนเงินแทนซองแดง วิธีนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดการใช้กระดาษและลดขยะเท่านั้น แต่ยังสะดวกทั้งผู้ให้และผู้รับอีกด้วย การโอนเงินจึงเป็นวิธีที่สะดวกและรวดเร็ว
(5) ทำอาหารอย่างเหมาะสม : การจัดโต๊ะไหว้ให้มีความหมายและในปริมาณที่เหมาะสมกับจำนวนสมาชิกในครอบครัว เพื่อไม่ให้มีปริมาณอาหารเหลือทิ้ง เป็นการลดของเสียจากอาหารและลดปริมาณขยะอินทรีย์ในครัวเรือน ที่สำคัญยังช่วยลดก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีส่วนทำให้โลกร้อนอีกด้วย
(6) car pool หรือใช้รถสาธารณะ : เป็นทางเลือกที่ดีในการประหยัดพลังงานและช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งการเดินทางโดยรถโดยสารประจำทางในกรุงเทพมหานคร แทนการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล จะช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 2.95 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
– Urbancreature
– Climate Care Collaboration Platform

สส.จัดโครงการอบรมเสริมสร้างพัฒนาองค์กรพอเพียงต้านทุจริต

วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม 2568 ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวเปิดโครงการอบรมเสริมสร้างพัฒนาองค์กรพอเพียงต้านทุจริตโดยเป็นการจัดฝึกอบรมให้ความรู้ เรื่อง กระบวนทัศน์หลักธรรมาภิบาลเพื่อการป้องกันการทุจริต และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต โดยได้รับเกียรติจาก นายวัลลภ ห่างไรสง อาจารย์ประจำหลักสูตร นิติศาสตร์ รองประธานศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท เขตดุสิต โรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เป็นวิทยากรบรรยาย เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ในการปฏิบัติงานตามหลักธรรมาภิบาล ส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมสู่ความโปร่งใสไร้ทุจริตเป็นองค์กรพอเพียงต้านทุจริต และมอบโล่เกียรติคุณ/เกียรติบัตรเชิดซูเกียรติ “บุคคลต้นแบบ” ของกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ประจำปีพ.ศ. 2567 จำนวน 13 ราย ถือเป็นการสนับสนุนการทำความดี ตลอดจนเป็นการสร้างขวัญกำลังใจในการปฏิบัติราชการอย่างเต็มความสามารถต่อไป

จับตาแรงกดดันภายในสหรัฐ หลัง “ทรัมป์” ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงปารีส

กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (กรมลดโลกร้อน) โดย ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ระบุยังต้องติดตามภาคเอกชนและมลรัฐต่างๆ ในสหรัฐฯ ว่าจะมีท่าทีอย่างไรต่อนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งประกาศให้สหรัฐถอนตัวจากข้อตกลงปารีส โดยคำมั่นที่สหรัฐจะให้เงินแก่กองทุนภูมิอากาศสีเขียว 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะถูกระงับ ขณะที่ประเทศไทยยังต้องเดินหน้าเตรียมความพร้อมรับมือกับการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ยากขึ้น รวมถึงการปรับตัวต่อกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมของยุโรป
การประกาศนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เตรียมนำสหรัฐอเมริกาออกจากข้อตกลงปารีสไม่ได้สร้างความประหลาดใจ เนื่องจากยืนยันชัดเจนเรื่องนี้ตั้งแต่ก่อนเข้ารับตำแหน่งแล้ว โดยการถอนตัวอย่างเป็นทางการจะใช้ระยะเวลา 1 ปี หลังจากการยื่นเรื่อง ซึ่งระหว่างนี้สหรัฐยังคงเป็นภาคีในข้อตกลงดังกล่าว
ผลกระทบจากการถอนตัวของสหรัฐฯ มีหลายประการ โดยเฉพาะด้านการสนับสนุนทางการเงินต่อประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนเงินทุนกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับกองทุนภูมิอากาศสีเขียว (Green Climate Fund) ขององค์การสหประชาชาติ แต่เมื่อทรัมป์ กลับมาดำรงตำแหน่ง เงินทุนดังกล่าวอาจถูกระงับ ส่งผลให้ประเทศกำลังพัฒนาประสบปัญหาในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยปัจจุบันสหรัฐ เป็นผู้สนับสนุนประมาณ 30% ของกองทุนนี้
อีกหนึ่งผลกระทบที่สำคัญคือ การลดความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระหว่างไทยและสหรัฐ ซึ่งอาจลดลงอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงแนวทางการลงทุนในพลังงานสะอาดและโครงการด้านสิ่งแวดล้อมในไทยที่ต้องพึ่งพาเงินทุนจากภาคเอกชนและภาครัฐของสหรัฐ ก็อาจได้รับผลกระทบ
นโยบายของทรัมป์จะมีผลกระทบต่อการลงทุนและการดำเนินนโยบายภายใน โดยเฉพาะการลงทุนด้านพลังงานสะอาดในสหรัฐ ที่ชะลอตัวลง อย่างเช่น โครงการที่เกี่ยวข้องกับการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage) อย่างไรก็ตามภายในสหรัฐฯ เอง ยังคงมีมลรัฐกว่า 26 แห่งที่เดินหน้าเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง เช่น แคลิฟอร์เนีย ซึ่งออกกฎหมายเข้มงวดกว่ากฎหมายของรัฐบาลกลาง ส่งผลให้ยังคงมีการดำเนินการในระดับท้องถิ่นและระดับภาคเอกชนต่อไป ขณะที่ภาคเอกชน โดยเฉพาะบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft Google และ Amazon ที่ยังคงยืนยันเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเนื่องจากต้องแข่งขันในตลาดโลก ดังนั้นจึงต้องติดตามการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลกลางและการดำเนินงานของมลรัฐ รวมถึงภาคเอกชนว่า จะเป็นอย่างไรต่อไป
สำหรับการเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ อาจส่งผลต่อเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้กำหนดไว้ในปี 2035 ซึ่งตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซลง 61-66% จากระดับปี 2005 หากนโยบายทรัมป์ทำให้การลดการปล่อยก๊าซล่าช้า อาจส่งผลต่อความพยายามของประชาคมโลกในการควบคุมอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส
ประเทศไทยต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น โดยต้องสร้างขีดความสามารถให้กับภาคธุรกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถแข่งขันและเข้าถึงแหล่งเงินทุนระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากประเทศที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนสูงอาจต้องเผชิญกับมาตรการกีดกันทางการค้าจากสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร เช่น CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรปซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปี 2569 ขณะที่สหราชอาณาจักรมีมาตรการแบบเดียวกันซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปี 2570
ทั้งนี้ แม้ว่าสหรัฐฯ จะถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีส แต่ประเทศอื่นๆ เช่น สหภาพยุโรป จีน และอินเดีย ยังคงเดินหน้าอย่างเต็มที่ในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ศูนย์กลางเรื่องของการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ Climate Technology ก็จะมีการเปลี่ยนแปลง จากในรัฐบาลของไบเดนที่ต้องการเป็นผู้นำ ต่อไปจะย้ายศูนย์กลางไปที่สหภาพยุโรปและสแกนดิเนเวียน รวมถึงออสเตรเลียที่ต้องการเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาด้านนี้
สำหรับผลกระทบต่อเป้าหมายลดอุณหภูมิโลก หากสหรัฐฯ เปลี่ยนนโยบาย อาจส่งผลให้เป้าหมายการจำกัดอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสทำได้ยากขึ้น โดยปัจจุบันสหรัฐฯ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับ 2 ของโลก
อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตามองว่า ภาคเอกชนและมลรัฐในสหรัฐฯ จะดำเนินนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศอย่างไรต่อไป แต่สิ่งสำคัญคือ ประเทศไทยต้องเร่งเสริมสร้างเครื่องมือทางกฎหมายและการเงินเพื่อรับมือกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติรุนแรงในอนาคต รวมถึงเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านเศรษฐกิจในตลาดโลกด้วย

DCCE & GIZ ร่วมหารือการดำเนินงานด้านการปรับตัวฯ และการสนับสนุนด้านการเงินจาก IKI

วันที่ 17 มกราคม 2568 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) ร่วมกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประจำประเทศไทย ร่วมหารือการดำเนินงานด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย โดยได้รับเกียรติจาก ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยนายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารจากกองขับเคลื่อนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึง Dr. Ulf Jaeckel, Head of Division European and International Adaptation to climate change, BMUV , Dr. Timo Menniken ผู้อำนวยการ GIZ ประจำประเทศไทย และ ดร. อังคณา เฉลิมพงศ์ ผู้อำนวยการโครงการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลและชายฝั่ง (CCMB) พร้อมเจ้าหน้าที่จาก GIZ ร่วมประชุม ณ ห้องวาสนา อาคารกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เพื่ออัปเดตสถานะปัจจุบันของแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (NAP) และการดำเนินงานตามแผนดังกล่าว รวมถึงการหารือประเด็นที่ประเทศไทยมีความต้องการการสนับสนุนจาก International Climate Initiative (IKI) ผ่าน IKI Thematic Call ซึ่งประกอบด้วย การขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการปรับตัวฯ ในระดับพื้นที่และรายสาขา การเสริมสร้างศักยภาพการประเมินความเสี่ยงให้บุคลากรในระดับส่วนกลางและพื้นที่ การเตรียมความพร้อมสำหรับการดำเนินงานภายใต้ พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเงินสำหรับการดำเนินงานด้านปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน จับมือตลาดหลักทรัพย์ฯ นำร่องกฎหมาย Climate Change

วันที่ 16 มกราคม 2568 ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (อสส.) และ นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการเชื่อมโยงข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัทจดทะเบียน ระหว่างกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมี นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ดร.กิตติศักดิ์ พฤกษ์กานนท์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ และนายศิวัช แก้วเจริญ ผู้อำนวยการกองขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจก ร่วมเป็นสักขีพยาน พร้อมทั้งเข้าร่วมงานสัมมนา SET Carbon: ดิจิทัลโซลูซันเพื่อธุรกิจยั่งยืน โดยท่าน อสส.ได้ให้เกียรติกล่าว Keynote Speech ในหัวข้อ “ความท้าทายและโอกาสของธุรกิจจากพ.ร.บ. Climate Change” ณ หอประชุมสังเวียน อินทรวิชัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีผู้เข้าร่วมงานสัมมนาจำนวน 800 คน
การบรรยายครั้งนี้มุ่งเน้นให้ความรู้และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบของร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่จะมีต่อภาคธุรกิจ โดยมุ่งเน้นประเด็นการเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัทจดทะเบียน พร้อมทั้ง นำเสนอแนวทางปรับตัวและสร้างโอกาสเติบโตภายใต้กฎหมายฉบับนี้ ให้กับผู้บริหารระดับสูง ผู้ปฏิบัติงานจากบริษัทจดทะเบียน ผู้ประกอบการ และผู้ที่สนใจการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อประกอบการวางแผนกรอบการดำเนินงาน และนโยบายของบริษัทฯ ในการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย Net Zero พร้อมร่วมมือกันพัฒนาโครงการเชื่อมโยงข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัทจดทะเบียนผ่านระบบ SET ESG Data Platform เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของประเทศในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำและยั่งยืนต่อไป

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

10 ภัยจากโลกเดือด ที่ไม่ควรมองข้าม ในปี 2025

ปี 2025 ปีที่มีความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม โดยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความพยายามระดับโลกในการรักษาสมดุลของธรรมชาติและลดผลกระทบจากกิจกรรมมนุษย์จึงกลายเป็นหัวข้อสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมอุณหภูมิโลกให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย การลดมลพิษจากพลาสติก การเพิ่มการลงทุนในเศรษฐกิจสะอาด การอนุรักษ์ธรรมชาติ รวมถึงการรับมือกับเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว ความมั่นคงทางอาหาร และการย้ายถิ่นฐานที่เกิดจากผลกระทบของสภาพภูมิอากาศ และ 10 ภัยจากโลกเดือด ที่ไม่ควรมองข้าม ในปี 2025 มีอะไรบ้าง ไปดูกัน….
1. รักษาอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5°C
เป้าหมาย “Keep 1.5 Alive” ยังคงสำคัญ โดย COP30 ที่เมืองเบเล็ม ประเทศบราซิล จะเน้นการบรรเทาผลกระทบ และมีความทะเยอทะยานในการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันความเสี่ยงโดยเฉพาะในประเทศที่เป็นเกาะ
2. การลดมลพิษจากพลาสติก
ในปี 2025 มลพิษจากพลาสติกยังคงเป็นภัยคุกคามต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งการเจรจาสำคัญที่ปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี 2024 ได้เน้นข้อตกลงลดพลาสติกและส่งเสริมทางเลือกที่ยั่งยืน โดยครอบคลุมวงจรชีวิตของพลาสติกทั้งหมด พร้อมปรับปรุงระบบรีไซเคิลและส่งเสริมวัสดุที่ย่อยสลายได้ รวมทั้งการจัดหาเงินทุน
3. การจัดหาเงินทุนเศรษฐกิจสะอาด
เป้าหมายการเงินใหม่ที่ COP29 เรียกร้องระดมทุน 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีภายในปี 2035 เพื่อสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน โครงสร้างพื้นฐานสีเขียว และมาตรการการปรับตัวต่อสภาพอากาศ รวมทั้งการช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในการจัดการกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
4. ปกป้องธรรมชาติ
การจัดประชุม COP30 ในป่าอเมซอนย้ำถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ระบบนิเวศและแก้ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งมีความสำคัญในการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยการเจรจาที่กรุงโรมในเดือน ก.พ. ปี 2025 จะเน้นแก้ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าและผลกระทบจากกิจกรรมมนุษย์ รวมทั้งปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพและฟื้นฟูป่า
5. เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว
ความถี่และความรุนแรงจากเหตุการสภาพอากาศสุดขั้วคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในปี 2025 เช่น คลื่นความร้อนและพายุ ดังนั้นการเสริมระบบเตือนภัยล่วงหน้าและการเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติจะเป็นสิ่งสำคัญในการลดผลกระทบ
6. การขาดแคลนน้ำ
พื้นที่แห้งแล้งทั่วโลกจะเผชิญกับวิกฤตการขาดแคลนน้ำอย่างน้ำรุนแรงในปี 2025 ดังนั้นการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและการอนุรักษ์เป็นสิ่งจำเป็น
7. ความมั่นคงทางอาหาร
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลกระทบต่อการเกษตรและการผลิตอาหาร ในปี 2025 อาจต้องเผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้นจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว ดังนั้นการเกษตรยั่งยืน เทคโนโลยีการเกษตรสร้างสรรค์ และความร่วมมือระหว่างประเทศจะช่วยบรรเทาปัญหาความมั่นคงทางอาหาร
8. มหาสมุทรเป็นกรด
CO2 ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความเป็นกรดในมหาสมุทรสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตทางทะเล เช่น ปะการัง ในปี 2025 การแก้ไขปัญหานี้มีความสำคัญในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางทะเล และสนับสนุนชุมชนที่พึ่งพาทะเล
9. การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
ในปี 2025 การอนุรักษ์จะต้องมุ่งเน้นไปที่การปกป้องชนิดพันธุ์ใกล้สูญพันธุ์ การฟื้นฟูที่อยู่อาศัย และสนับสนุนการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน
10. การย้ายถิ่นฐานจากสภาพภูมิอากาศ
ผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ เช่น ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น การขาดแคลนทรัพยากร ทำให้ผู้คนจำเป็นต้องย้ายถิ่นฐาน ดังนั้น ในปี 2025 การสนับสนุนชุมชนที่ถูกย้ายและการจัดการย้ายถิ่นฐานอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญเพื่อความมั่นคงโลก

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”