Thailand Pavilion @ COP30 เปิดเวทีเสวนา NbS และการออกแบบ สร้างความเท่าเทียมและเสริมความยืดหยุ่นเมือง

           เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2568 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และภาคีเครือข่าย ได้เปิดเวทีเสวนาใน Thailand Pavilion @ COP30 ณ เมืองเบเล็ง สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ซึ่งวันนี้มีหัวข้อเสวนาที่น่าสนใจหลายหัวข้อ
           ช่วงเช้าเวลา 11.00 น. (เวลาบราซิล) เปิดเวทีในหัวข้อ “Undoing the Damage, The Retrofit Urban Revolution with Nature: Action Pathways for Livable, Thriving, and Resilient Cities โดยมีตัวแทนผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านสังคมเมืองและภูมิสถาปนิก มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์และบทบาทหน้าที่ของแต่ละบุคคล ในการร่วมกันแก้ไขความเสียหาย การปฏิวัติสังคมเมืองที่ปรับปรุงใหม่ด้วยธรรมชาติ และแนวทางการปฏิบัติเพื่อเมืองที่น่าอยู่และยืดหยุ่นทางด้านสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีการยกตัวอย่างกรณีศึกษาจากประเทศสิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา ในการเปลี่ยนผ่านจาก grey infrastructure ไปสู่ green infrastructure อย่างมีนัยสำคัญ เพื่อสามารถพิจารณาปรับใช้ได้ตามความเหมาะสมของบริบทของประเทศไทย และสะท้อน “หากผู้มีอำนาจในบ้านเมืองสามารถจ้างสถาปนิกมาออกแบบที่พักอาศัยของตนเองได้ พวกเขาก็ย่อมควรที่จะจ้างภูมิสถาปนิกมาออกแบบเมืองของพวกเราทุกคนได้เช่นกัน”
ในชุมชนหรือเมืองเปราะบาง เช่น Kibera (Nairobi) และ Villa 20 (Buenos Aires) ที่ชาวบ้านร่วมกันปรับปรุงพื้นที่ด้วยพืชพื้นถิ่นและโครงสร้างสีเขียวขนาดเล็ก ช่วยลดความร้อน ปรับปรุงคุณภาพอากาศ และสร้างความสามัคคีในชุมชน แสดงให้เห็นว่า Nature-based Solutions (NbS) สามารถขับเคลื่อนจากชุมชนได้จริง และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายเมืองที่ยั่งยืน รวมทั้งพื้นที่สาธารณะสีเขียว คือ แนวทาง NbS ที่สร้างความเท่าเทียมและเสริมความยืดหยุ่นเมือง ช่วยควบคุมน้ำท่วม ปรับปรุงคุณภาพอากาศ ดูดซับคาร์บอน และเพิ่มสุขภาวะของประชาชน ลงทุนเพียง 1 ดอลลาร์สามารถให้ผลประโยชน์ทางสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมมากกว่า 4–10 เท่า โดยสิงคโปร์เป็นตัวอย่างในการวางแผนเมืองในระยะยาวเพื่อมุ่งสู่ “City in Nature” โดยผสานแนวทาง NbS ในการจัดการน้ำท่วม การขยายพื้นที่สีเขียวและทางเชื่อมสวนสาธารณะ ภายใต้ SG Green Plan 2030 เพื่อสร้างเมืองที่ น่าอยู่ ยืดหยุ่น และยั่งยืน ด้วยการวางแผนบูรณาการระยะ 40–50 ปี
ช่วงบ่ายเริ่มการเสวนาในหัวข้อ ““Nature at Work: Advancing Climate Resilience through Ecosystem-Based Solutions” โดยมีตัวแทนผู้ทรงคุณวุฒิในวงการภูมิสถาปนิกจากประเทศแคนาดาและบราซิล รวมถึงตัวแทนจากภาคหน่วยงานราชการไทย มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ เสวนาในการใช้แนวทางธรรมชาติ ผ่านระบบนิเวศที่สมดุลและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ พร้อมทั้งตอกย้ำถึงความสำคัญในการบูรณาการระหว่างหลากหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายทางด้านสิ่งแวดล้อมร่วมกัน เน้นย้ำ “ธรรมชาติจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ก็ต่อเมื่อเราทำงานร่วมกับธรรมชาติเช่นกัน นอกจากนี้ ธรรมชาติไม่ใช่เรื่องของค่าใช้จ่าย หากแต่มันคือการลงทุนที่สำคัญ”
“การออกแบบเมืองอย่างยั่งยืน” ต้องอาศัย วิทยาศาสตร์และธรรมชาติร่วมกัน โดยใช้ระบบนิเวศเป็นพื้นฐานของการออกแบบ สร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพและคุณภาพสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเชื่อมโยงกับเป้าหมายด้านภูมิอากาศและเศรษฐกิจสีเขียว
ตัวอย่างแนวทาง Ecosystem-Based Adaptation (EbA) ของประเทศไทย โดยบูรณาการธรรมชาติ ข้อมูล และชุมชน เพื่อเสริมความยืดหยุ่นด้านน้ำในลุ่มน้ำชายฝั่งตะวันออก ผ่านการประเมิน CRVA และร่วมออกแบบมาตรการ 11 ด้านกับชุมชน ผลลัพธ์ช่วยลดความเสี่ยงน้ำท่วม-แล้ง เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ และยกระดับสู่แผนแม่บทลุ่มน้ำ 22 แห่ง ธรรมชาติถูกมองเป็น “การลงทุน” เพื่อความยั่งยืน ไม่ใช่ต้นทุน
สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของการประชุม COP 30 และความเคลื่อนไหวใน Thailand Pavilion ได้ทาง Facebook กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้ทุกวันตลอดการประชุม
       “ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”




สุชาติ ชง ครม. ไฟเขียว ร่าง กฎหมายโลกร้อน ยกระดับประเทศไทยสร้างเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ เสริมภูมิคุ้มกันรับมือโลกเดือดอย่างยั่งยืน

           วันที่ 2 ธันวาคม 2568 นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบต่อหลักการของร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. …. ซึ่งเป็นการวางรากฐานทางกฎหมายที่สำคัญฉบับแรกของไทยในการจัดการปัญหาโลกร้อนร่วมกับนานาชาติ ผ่านการสร้างกลไกบริหารจัดการผลกระทบของสภาพภูมิอากาศรุนแรงของภาครัฐร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างเป็นทางการ รวมถึงการพัฒนาขีดความสามารถทางการค้ารูปแบบคาร์บอนต่ำของไทยให้สอดคล้องกับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2093 (Net Zero 2050) ในเวทีโลก ส่งผลให้ไทยมีเครื่องมือและโอกาสในการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ประเทศชาติและประชาชนเพื่อต่อสู้กับผลกระทบจากปัญหาโลกร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ร่างพระราชบัญญัติฯ มีบทบัญญัติ 14 หมวด 205 มาตรา และบทเฉพาะกาลซึ่งต้องเร่งรัดการดำเนินงานตามข้อสั่งการและนโยบายรัฐบาลของ นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล โดยจะเร่งผลักดันกฎหมายเพื่อจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว เพื่อให้ไทยมีเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อผลกระทบจากสภาพอากาศที่รุนแรงโดยประชาชนและภาคเอกชนจะมีส่วนร่วมกำหนดนโยบายและแผน ขับเคลื่อนการดำเนินงาน ตลอดจนนำกลไกราคาคาร์บอน ทั้งการจัดสรรสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS) การปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน หรือ CBAM ภาษีคาร์บอน และคาร์บอนเครดิต มาใช้อย่างสมดุล รวมถึงการเร่งสนับสนุนทางการเงินผ่านกองทุนภูมิอากาศ เพื่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจสำหรับการลงทุนทั้งจากภาครัฐและเอกชนเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดผลกระทบจากความสูญเสียและเสียหายในภาพรวม รวมทั้งสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านระบบเศรษฐกิจให้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกระดับต่ำจนมีความสามารถแข่งขันทางการค้าในระดับนานาชาติได้
ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติฯ ได้ออกแบบให้มีการบังคับและสนับสนุนให้ดำเนินการอย่างสมดุลเพื่อให้ก่อประโยชน์แก่ทุกภาคส่วนอย่างสูงสุด โดยได้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน จึงมั่นได้ใจว่าร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้จะเข้าสู่การพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจนแล้วเสร็จโดยเร็ว ก่อนเสนอเข้าสู่กระบวนการพิจารณาร่างกฎหมายของรัฐสภาเพื่อให้สามารถไปสู่การบังคับใช้ได้อย่างเร่งด่วนต่อไป
“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน ร่วมบรรยายพิเศษในงาน “คืนสู่เหย้า 44 ปี สหสาขาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม จุฬาฯ

                 เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ให้เกียรติเป็นวิทยากรพิเศษบรรยายเชิงวิชาการ ภายใต้กิจกรรม “คืนสู่เหย้า 44 ปี สหสาขาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม จุฬาฯ” ในหัวข้อ “องค์กรจะปรับตัวภายใต้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมอย่างไร” ซึ่งจัดโดยบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ
ชมรมจุฬาฯ รักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ด้านนโยบายการจัดการสิ่งแวดล้อมขององค์กรที่จำเป็น ต้องปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพถูมิอากาศ ณ ห้องประชุม 801 ชั้น 8 อาคารเฉลิมราชกุมารี 60 พรรษา (จามจุรี 10) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช ได้กล่าวถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ เทคโนโยลี และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนความร่วมมือของประชาคมโลกภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC)พร้อมทั้งนำเสนอผลลัพธ์สำคัญจากการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาฯ สมัยที่ 30 (COP 30) อาทิ การจัดส่งเป้าหมาย NDC 3.0 เพื่อยกระดับความมุ่งมั่นในการลดก๊าซเรือนกระจก การจัดทำตัวชี้วัดเป้าหมายการปรับตัวระดับโลก (Global Goal on Adaptation)และกรอบ Baku to Belém Roadmap to 1.3T ซึ่งเป็นเป้าหมายในการระดมเงินทุนมูลค่า 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี ค.ศ. 2035 เพื่อสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มความสามารถในการปรับตัวฯ ทั้งนี้ ยังได้กล่าวถึงทิศทางนโยบายสำคัญในการมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ภายในปี ค.ศ. 2050 รวมทั้งความก้าวหน้าในการจัดทำ (ร่าง) พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. …. ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแบบปล่อยคาร์บอนต่ำโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ในการนี้ ดร.พิรุณ ได้เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของเยาวชนในการเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น เพื่อร่วมออกแบบอนาคตของตนเองพร้อมทั้งวางรากฐานที่มั่นคงให้กับคนรุ่นต่อไป โดยมีนิสิตเก่า นิสิตปัจจุบันของหลักสูตรสหสาขาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมและประชาชนทั่วไป เข้าร่วมรับฟังการบรรยายจำนวนทั้งสิ้น 200 คน
“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

Thailand Pavilion @ COP30 เปิดเวที ประเด็นเมือง–วิทยาศาสตร์-การจัดการน้ำ เสริมภูมิคุ้มกันโลกรวน

          เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2568 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และภาคีเครือข่าย ปิดเวทีเสวนาใน Thailand Pavilion @ COP30 ณ เมืองเบเล็ง สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ซึ่งวันนี้มีหัวข้อเสวนาที่น่าสนใจหลายหัวข้อ
          ช่วงเช้าเวลา 9.30 น. (เวลาบราซิล) เปิดเวทีในหัวข้อ “Cities in Motion: Climate, Migration, and the Future of Human Habitat” โดยผู้ทรงคุณวุฒิจากวงการภูมิสถาปนิก มาร่วมแลกเปลี่ยนถึงบริบทของสังคมเมืองที่มีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา และการอพยพย้ายถิ่นฐาน รวมถึงแนวโน้มถิ่นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ในอนาคต สืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ให้สังคมหมู่มากตระหนักถึงความสำคัญของการบรรเทาและการปรับตัวทางสภาพภูมิอากาศ “ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ควรถูกมองเป็นเรื่องเฉพาะหน้า แต่ควรได้รับการพิจารณาผ่านแนวทางเชิงพัฒนาแบบองค์รวม”
          ต่อเนื่องด้วยหัวข้อ “ASEAN & NL: Accelerating Nature-Based Solutions and International Water Collaboration” โดยผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านทรัพยากรน้ำ มาร่วมแลกเปลี่ยนถึงการเร่งยกระดับการใช้แนวทางที่อาศัยธรรมชาติ (Nature-based Solutions) สอดรับกับแนวทางความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน อย่างกรณีศึกษาของประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งถือเป็นประเทศผู้เชี่ยวชาญทางด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อนำไปต่อยอดปรับใช้ตามบริบทของแต่ละประเทศต่อไป “การใช้แนวทางที่อาศัยธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องใหม่หรือไกลตัวแต่อย่างใด แท้จริงแล้วเราสามารถต่อยอดจากภูมิปัญญาดั้งเดิม และแนวปฏิบัติในท้องถิ่นของเราได้อย่างแน่นอน”
          ในช่วงบ่าย เปิดเวทีในหัวข้อ “ “Bridging Science, Policy, and People for Farming and Agriculture Resilience: Advancing Multi-Hazard and Climate Resilient Development in a Changing Climate” โดยผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายหน่วยงานระหว่างประเทศ และกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม มาร่วมเสวนาถึงบริบทการเชื่อมโยงวิทยาศาสตร์และนโยบายไปสู่ภาคประชาชน เพื่อเสริมความยืดหยุ่นของภาคเกษตรกรรมเพื่อก้าวสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนภายใต้สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง เน้นย้ำถึงความสำคัญของยโยบายต่าง ๆ ที่ต้องสอดรับกับบริบทของผู้ปฏิบัติการจริงในระดับท้องถิ่นนั้น ๆ “จริงอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาเร่งด่วน แต่มันไม่มีทางลัดสำหรับการแก้ปัญหาดังกล่าว เราต้องอดทนพยายามและคิดอย่างรอบคอบในการแก้ปัญหา”
          สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของการประชุม COP 30 และความเคลื่อนไหวใน Thailand Pavilion ได้ทาง Facebook กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้ทุกวันตลอดการประชุม
 “ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”




กรมลดโลกร้อน คว้ารางวัลระดับโลกสุดยิ่งใหญ่งาน ASOCIO Award 2025 ณ กรุงไทเป สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน)

          เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมและนายศิวัช แก้วเจริญ ผู้อำนวยการกองขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจก เข้าร่วมรับรางวัลในสาขา ASOCIO ESG Award ในงาน ASOCIO Award 2025 ณ กรุงไทเป สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) จากสมาพันธ์อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และบริการในภูมิภาคเอเชีย-โอเชียเนีย (Asian-Oceanian Computing Industry Organization: ASOCIO) ซึ่งเป็นองค์กรนานาชาติที่รวมสมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและบริการจาก 24 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชีย-โอเชียเนีย รางวัลอันทรงเกียรตินี้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อยกย่องและเชิดชูผลงานขององค์กรที่มีความโดดเด่นและประสบความสำเร็จในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้ในการพัฒนาองค์กรให้เกิดการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสังคม โดยมีสาขารางวัลที่หลากหลาย เช่น นวัตกรรมเทคโนโลยี การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล การบริการภาครัฐ การพัฒนาบุคลากร ความยั่งยืน เป็นต้น ซึ่งกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมคว้ารางวัลสาขา ASOCIO ESG Award หรือสาขาความยั่งยืน จากผลงานการพัฒนาแพลตฟอร์มกลางการให้บริการข้อมูลเปิดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย (GHG Platform) ซึ่งเป็นเครื่องมือดิจิทัลที่ช่วยจัดเก็บ รวบรวม เชื่อมโยงและให้บริการข้อมูลบัญชีก๊าซเรือนกระจกในระดับจังหวัด และระดับประเทศ เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการข้อมูลด้านก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นระบบ ช่วยให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสาธารณชนสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง โปร่งใส และนำไปใช้ประโยชน์ในการวางแผน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมไปจนถึงการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผลงานดังกล่าวนับเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของกรมในการขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) และส่งเสริมการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมตามหลัก ESG เพื่อสร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อันเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
            “ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

 

สส. ร่วมเฝ้าฯ รับเสด็จ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน พุทธศักราช 2568

สส. ร่วมเฝ้าฯ รับเสด็จ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน พุทธศักราช 2568

          วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม 2568 เวลา 16.07 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จแทนพระองค์ไปถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานครในการนี้ ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมงานพระราชพิธีฯ พร้อมผู้บริหารหน่วยงานราชการ ข้าราชการและประชาชนที่มาเฝ้าฯ รับเสด็จโดยพร้อมเพรียงกัน
ที่มารูปภาพ : NBT
         “ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

กรมลดโลกร้อน จัดกิจกรรมเนื่องใน “วันรักต้นไม้ประจำปีของชาติ พ.ศ. 2568

กรมลดโลกร้อน จัดกิจกรรมเนื่องใน “วันรักต้นไม้ประจำปีของชาติ พ.ศ. 2568

         วันที่ 17 ตุลาคม 2568 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม จัดกิจกรรมเนื่องใน “วันรักต้นไม้ประจำปีของชาติ พ.ศ. 2568” โดยมี ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดกิจกรรม พร้อมด้วยนายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม นำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ร่วมกันบำรุงรักษาต้นไม้ โดยการพรวนดิน ใส่ปุ๋ย กำจัดวัชพืช และตัดแต่งกิ่งไม้ ณ พื้นที่ศูนย์วิจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ตำบลคลองห้า อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่พระองค์ทรงมีพระปณิธานอย่างแรงกล้าที่จะอนุรักษ์และฟื้นฟูความสมดุลของธรรมชาติ ปลูกฝังให้ทุกคนอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างมีจิตสำนึก และขยายผลแนวคิดการปลูกป่าแบบป่านิเวศ หรือ Eco forest เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมืองและชุมชน ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาสมดุลของธรรมชาติ ดูดซับก๊าซเรือนกระจก และลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
         กิจกรรมดังกล่าวไม่เพียงช่วยฟื้นฟูสภาพแวดล้อมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น แต่ยังสะท้อนถึงความร่วมมือ ความสามัคคี และความมุ่งมั่นของกรมฯ ในการขับเคลื่อนภารกิจ “ลดโลกร้อนด้วยการลงมือทำ” ให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเดินหน้าสนับสนุนเป้าหมายของประเทศในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ในอนาคต

        “ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

 

ทส. ผนึกกำลังภาครัฐ–เอกชน ลงนามผลักดันบรรจุภัณฑ์ยั่งยืนผ่าน ‘Aluminium Loop Model’ หนุนหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ลดปล่อยคาร์บอนฯ มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero

ทส. ผนึกกำลังภาครัฐ–เอกชน ลงนามผลักดันบรรจุภัณฑ์ยั่งยืนผ่าน ‘Aluminium Loop Model’ หนุนหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ลดปล่อยคาร์บอนฯ มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero

          วันที่ 1 ตุลาคม 2568 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยหน่วยงานภาครัฐ และกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการผลิตและการจัดการกระป๋องอลูมิเนียมตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Aluminium Can Supply Chain) ร่วมลงนามประกาศเจตนารมณ์ความร่วมมือ เพื่อขับเคลื่อนการจัดการบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มอย่างยั่งยืน โดยใช้ “Aluminium Loop” เป็นต้นแบบการรีไซเคิลวงจรปิด (Closed Loop Recycling) ที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ พร้อมสนับสนุนข้อมูลภาคอุตสาหกรรมการผลิตบรรจุภัณฑ์อลูมิเนียม รองรับมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของประเทศไทย (TH-CBAM) มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero 2050 ของประเทศ ภายในงานได้รับเกียรติจาก ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีและกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” โดยมี นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวรายงาน ดร.วิฑูรย์ สิมะโชคดี ประธานมูลนิธิการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน และนางกิติยา แสนทวีสุข ผู้ช่วยรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเบเวอร์เรจแคน จำกัด นำเสนอ “สรุปความร่วมมือครึ่งทศวรรษ” สะท้อนความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการขับเคลื่อนบรรจุภัณฑ์อลูมิเนียมอย่างยั่งยืน
         การประกาศเจตนารมณ์ความร่วมมือจะมีผลบังคับใช้เป็นเวลา 5 ปี (พ.ศ. 2568 – 2572) โดยทุกฝ่ายจะจัดตั้งคณะกรรมการและคณะทำงานเพื่อกำหนดแผนปฏิบัติงานรายปี พร้อมกำหนดเป้าหมายชัดเจน โดยจะมีการทบทวนผลการดำเนินงานทุก 2 ปี เพื่อปรับปรุงและยกระดับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป สำหรับความร่วมมือดังกล่าวนี้ จะช่วยยกระดับการจัดการบรรจุภัณฑ์ของประเทศไทยให้ก้าวสู่มาตรฐานสากล ช่วยลดปริมาณขยะตกค้าง ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสนับสนุนหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เข้มแข็ง อีกทั้งยังเป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม เพื่อเป้าหมาย Net Zero ของประเทศไทย
         สำหรับระบบรีไซเคิลแบบวงจรปิด (Closed Loop Recycling) ของ Aluminium Loop เกิดขึ้นในปี 2564 จากความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนตลอดห่วงโซ่คุณค่าของบรรจุภัณฑ์อลูมิเนียม ซึ่งปัจจุบันมีแบรนด์เข้าร่วมกว่า 100 ราย และสามารถเก็บคืนบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วได้กว่า 1,500 ล้านใบ ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 130 ล้านกิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ทั้งนี้ ความร่วมมือในครั้งนี้มุ่งเน้น 3 ด้านหลัก ได้แก่
1. การพัฒนาฐานข้อมูลและระบบบริหารจัดการบรรจุภัณฑ์ให้สอดคล้องกับมาตรการ TH-CBAM และเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ
2. การส่งเสริมระบบรีไซเคิลวงจรปิดให้เป็นต้นแบบของอุตสาหกรรมอื่น
3. การจัดการขยะในพื้นที่ยากต่อการเข้าถึง โดยใช้หลักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมกระตุ้นการมีส่วนร่วมของประชาชน
         ดังนั้น ความร่วมมือนี้จึงเป็นอีกก้าวสำคัญในการลดก๊าซเรือนกระจก ยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อม และเสริมศักยภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยบนเวทีโลก เพื่อก้าวสู่เป้าหมาย Net Zero อย่างยั่งยืน
         “ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

“ทส. ดันเวที TCAC 2025 จุดพลังความร่วมมือทุกภาคส่วน หนุนกฎหมาย-การเงิน-เทคโนโลยี สู่เป้าหมาย Net Zero 2050 ก่อนถ่ายทอดสู่ COP 30 ที่บราซิล”

“ทส. ดันเวที TCAC 2025 จุดพลังความร่วมมือทุกภาคส่วน หนุนกฎหมาย-การเงิน-เทคโนโลยี สู่เป้าหมาย Net Zero 2050 ก่อนถ่ายทอดสู่ COP 30 ที่บราซิล”

          30 กันยายน 2568 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย ครั้งที่ 4 หรือ Thailand Climate Action Conference: TCAC 2025 ภายใต้แนวคิด “จุดประกายความคิด ร่วมพลิกวิกฤตโลกเดือด–Inspiring Climate Solutions for All” ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 29 – 30 กันยายน 2568 ได้รับความสนใจจากภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน เยาวชน และองค์กรระหว่างประเทศ เข้าร่วมประชุมพร้อมร่วมกิจกรรมและชมนิทรรศการ รวมมากกว่า 11,000 คน
ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวปิดการประชุมว่า TCAC 2025 เป็นเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ที่มีคุณค่า เป็นประโยชน์ต่อการกำหนดนโยบาย พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความสำเร็จร่วมกับประชาคมโลก ซึ่งมีประเด็นที่สำคัญจากเวที TCAC 2025 มีดังนี้
• การปาฐกถาเปิดประชุมโดยนายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้คำมั่นผลักดันเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2593 เทียบเท่าระดับสากล พร้อมเร่งผลักดัน ร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว รวมถึงผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางคาร์บอนเครดิตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมในระดับภูมิภาค
• เวที From Vision to Action โดยเยาวชน นางสาวไทย ภาคเอกชน และภาคประชาชน ได้ส่งสารสำคัญว่า “ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างจริงจังและเข้มแข็งเท่านั้น คือ กุญแจสำคัญในการปกป้องโลกให้ลูกหลาน”
• Climate Literacy ชี้ว่า “ความรู้ ทักษะ การลงมือทำ” คือ สมการที่นำไปสู่การอยู่รอดท่ามกลางวิกฤตโลกร้อน
• Climate Risk Management เน้นยุทธศาสตร์จัดการความเสี่ยงระดับเมือง และพัฒนากลไกความร่วมมือของประชาชน ควบคู่กับ เทคโนโลยีและข้อมูลเตือนภัยที่รวดเร็วและแม่นยำ
• พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สร้างสมดุลระหว่างการบังคับใช้กฎหมายและการสนับสนุนให้ดำเนินการได้จริงในสังคม พร้อมการสื่อสารที่เข้าใจง่าย นำไปสู่ความร่วมมืออย่างเป็นระบบ
• Slow on-set event มุ่งแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งจากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น ด้วยการประยุกต์องค์ความรู้ เทคโนโลยี ร่วมกับการใช้แนวทางแก้ไขปัญหาด้วยธรรมชาติ หรือ Nature Based Solutions สร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ประชาชน
• COP 30 เพิ่มความเข้าใจบทบาทนักเจรจาและกลไกภายใต้อนุสัญญาฯ เพื่อความร่วมมือบนหลัก “3P: Public–Private–People” (รัฐ-เอกชน-ประชาชน) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• เศรษฐกิจ–สังคม–เทคโนโลยี แนวทางการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจที่ยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ ภายใต้แนวคิด Technology Transition และ Climate Resilience Solutions
• Climate Finance สร้างโอกาสความร่วมมือทางความคิดสู่การปฏิบัติด้านการเงิน ผ่านสถาบันการเงิน ตลาดทุน ภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชน และในครั้งนี้ กรมฯ ได้ส่งเสริมให้ภาคเอกชนสนับสนุนเงินทุน สู่ 12 โครงการของภาคประชาชน เพื่อการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมพร้อมขยายผลต่อเนื่อง
• เวที Youth Message from Local to Global ส่งเสริม “Meaningful Youth Participation” ให้เยาวชนมีส่วนร่วมในการออกแบบ ร่วมตัดสินใจ ร่วมรับผิดชอบ ไม่ใช่ในฐานะ “ผู้รับ” แต่เป็น “พาร์ทเนอร์” เพื่อขยายผลไปสู่ความยุติธรรมและความเสมอภาคระหว่างรุ่น
          ดร.พิรุณ กล่าวย้ำว่า ผลลัพธ์จาก TCAC 2025 จะไม่จบเพียงเวทีประชุม แต่จะถูกต่อยอดเป็นนโยบาย การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ และสื่อสารสะท้อนสู่ประชาคมโลกในการประชุม COP 30 ณ สหพันธรัฐบราซิล ในเดือนพฤศจิกายนนี้ พร้อมขอบคุณความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและหวังให้พลังความร่วมมือนี้ เป็นแรงบันดาลใจสู่การลงมือทำ จนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม “Climate Action is People Action”
          ทั้งนี้ การจัดงาน TCAC 2025 เป็นการจัดงานแบบปลอดคาร์บอน หรือ Carbon Neutral Event โดยใช้คาร์บอนเครดิตมาตรฐาน T-VER มาชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากงานเท่ากับศูนย์ ถือเป็นตัวอย่างการจัดงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
          “ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

รองนายกฯ สุชาติ เปิดประชุม TCAC 2025 ผลักดันนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม สร้างอนาคตคาร์บอนต่ำ

รองนายกฯ สุชาติ เปิดประชุม TCAC 2025 ผลักดันนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม สร้างอนาคตคาร์บอนต่ำ

         29 กันยายน 2568 – นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นประธานเปิดการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย ครั้งที่ 4 หรือ Thailand Climate Action Conference: TCAC 2025 ภายใต้แนวคิด “จุดประกายความคิด ร่วมพลิกวิกฤตโลกเดือด – Inspiring Climate Solutions for All” โดยมีคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เอกอัครราชทูต องค์กรระหว่างประเทศ ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ว่าราชการจังหวัด ร่วมการประชุม กว่า 2,000 คน ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายในงาน Sustainability Expo (SX)
         นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า “การจัดงาน TCAC 2025 ในปีนี้ จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 โดยรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกุล ได้ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง ตั้งแต่ระดับนโยบายจนถึงการขับเคลื่อนร่วมกับทุกภาคส่วน เชื่อมโยงกับนานาชาติอย่างเป็นรูปธรรม จึงได้บรรจุไว้ในนโยบายหลักของรัฐบาลที่จะแถลงในวันนี้ ด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ข้อ 12 เร่งติดตั้งเครื่องมือเตือนภัยและพัฒนาเครือข่ายการเตือนภัยพิบัติ โดยพื้นที่ความเสี่ยงสูง และข้อ 13 ผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ ซึ่งการประชุม TCAC 2025 จึงเป็นเวทีสำคัญที่จะแสดงศักยภาพและความสามัคคี ในการกำหนดอนาคตของประเทศร่วมกับประชากรโลก ภายใต้แนวคิด “จุดประกายความคิด ร่วมพลิกวิกฤตโลกเดือด” ที่ทุกคนต้องทำเพื่อโลกนี้ เพื่อส่งต่อโลกที่ดีกว่าให้กับลูกหลานของเราในอนาคต อีกทั้ง ความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเผชิญ ตามข้อตกลงปารีส ที่ได้กำหนดเป้าหมายควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส แต่ปัจจุบันอุณหภูมิโลกได้สูงถึง 1.75 องศาเซลเซียส ส่งผลให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาคลื่นความร้อนสูง น้ำท่วมในช่วงฤดูฝน สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง กระทบต่อชีวิต ทรัพย์สินและความมั่นคงของประเทศ มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จึงต้องเร่งขับเคลื่อนแผนการปรับตัว โดยเฉพาะการเตือนภัยล่วงหน้าให้เห็นเป็นรูปธรรม และถึงแม้ประเทศไทยจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียง ร้อยละ 1 ของโลก แต่กลับได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รัฐบาลจึงได้กำหนดเป้าหมาย “การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์” ภายในปี ค.ศ. 2050 และในปี ค.ศ. 2025 จะจัดส่ง “NDC 3.0” โดยวางแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจาก 5 ภาคส่วนหลัก คือ พลังงาน การขนส่ง อุตสาหกรรม การจัดการของเสีย และการเกษตร ให้ได้ร้อยละ 40 ภายในปี ค.ศ. 2035
         นายสุชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เร่งผลักดัน “ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนการดำเนินงาน ผ่าน 4 ด้าน คือ กลไกทางนโยบาย การลดก๊าซเรือนกระจก การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลไกทางการเงิน กองทุนเพื่อสนับสนุนการลงทุนสู่เป้าหมาย Net Zero เพื่อนำเงินจากผู้ก่อมลพิษมาสนับสนุนผู้ลดมลพิษ รวมถึงประเทศไทยได้มุ่งพัฒนาเป็น “ศูนย์กลางตลาดคาร์บอนเครดิต” ในระดับอาเซียนอย่างเป็นระบบและครบวงจร สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ โอกาสการลงทุน พัฒนารูปแบบการเงินแบบใหม่ และมุ่งหวังให้ “คนรุ่นใหม่” เป็นกำลังสำคัญร่วมกับ “คนรุ่นใหญ่” สนับสนุนโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนในวงกว้าง
         “สุดท้ายนี้ มีความมุ่งหวังและตั้งใจที่จะส่งเสริมการดำเนินงานของประเทศไทย และขอเชิญชวนทุกท่านได้นำแรงบันดาลใจที่ได้รับในวันนี้มาร่วมสร้างอนาคต เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส ให้เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม สามารถเดินไปด้วยกันได้ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ที่สำคัญ มาร่วมสร้างอนาคต สร้างโลกที่น่าอยู่ของพวกเราทุกคนในวันนี้ และส่งต่อให้ลูกหลานของเราในวันข้างหน้าไปด้วยกัน”
ด้าน ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า “การประชุม TCAC 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29–30 กันยายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยในปีนี้มีผู้เข้าร่วมจากทุกภาคส่วนกว่า 2,000 คน ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ องค์กรระหว่างประเทศ คณะทูต ภาคประชาชน และเยาวชน โดยกำหนดรูปแบบการเสวนาครอบคลุมทั้งด้านนโยบายภาครัฐ นวัตกรรมและการวิจัย การมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและประชาชน ซึ่งได้รับเกียรติจากบุคคลสำคัญในทุกภาคส่วนมาร่วมแลกเปลี่ยนและสร้างสรรค์ความร่วมมือในทุกมิติ อีกทั้ง ยังมีการจัดนิทรรศการเพื่อนำเสนอการดำเนินงานด้านการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมไปถึงการจัด Climate Clinic เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ ปีนี้เป็นปีแรกที่กระทรวงฯ ได้สร้างความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและประชาชนโดยตรง ด้วยการสนับสนุนงบประมาณจับคู่ขับเคลื่อนโครงการเครือข่ายชุมชน 12 พื้นที่ พื้นที่ละ 2 แสนบาท ซึ่งจะทำให้เกิดผลการดำเนินงานในระดับพื้นที่ตลอดระยะเวลา 9 เดือนนับจากการประชุมครั้งนี้ และนำไปสู่ผลลัพธ์ที่จะส่งต่อได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยหลังจากการประชุม TCAC 2025 ประเทศไทยจะนำผลลัพธ์ของการประชุมนี้รวมถึงการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมไปประกาศในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 30 หรือ COP 30 ที่บราซิลในเดือนพฤศจิกายนนี้”
        การประชุม TCAC 2025 เวทีสำคัญที่รวมพลังจากทุกภาคส่วน เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ผลักดันนวัตกรรม และสร้างความร่วมมือเชิงรูปธรรมในการแก้ไขปัญหาโลกร้อน ตอกย้ำความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการเดินหน้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ สร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจกับสิ่งแวดล้อม และก้าวไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน
         “ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”