โจทย์ท้าทายประเทศไทย เปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 0.7 องศาเซลเซียสในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา และอาจเพิ่มขึ้นถึง 6.4 องศาเซลเซียส ในช่วงท้ายของศตวรรษที่ 21 (1) ขณะที่ในปี 2568 มีการคาดการณ์ว่า อุณหภูมิพื้นผิวโลกจะเพิ่มขึ้นระหว่าง 1.29-1.53 องศาเซลเซียส (2)
แนวคิด “เมืองคาร์บอนต่ำ” หรือ Low Carbon City จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่หลายประเทศนำมาใช้เพื่อจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเน้นการจัดการในระดับพื้นที่เพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซจากเขตเมือง ซึ่งคิดเป็น 70% ของการปล่อยก๊าซทั้งหมด แนวทางนี้ไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซ แต่ยังเชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วย (1)
ในประเทศไทยเริ่มมีการส่งเสริมการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับเมือง แต่ยังขาดการนำแนวทางนี้ไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม การสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังไม่แพร่หลายมากนัก แม้มีเมืองต้นแบบอย่างเช่น ขอนแก่น เชียงใหม่ และเกาะสมุย แต่การดำเนินงานยังขาดการเก็บข้อมูลและการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ ส่งผลให้การขับเคลื่อนเมืองคาร์บอนต่ำยังไม่ชัดเจน (1)
การพัฒนาเมืองคาร์บอนต่ำจึงต้องเริ่มจากการสร้างความตระหนักรู้กับประชาชน และการใช้เทคโนโลยีสะอาด เช่น พลังงานทดแทนและการประหยัดพลังงาน ซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและขับเคลื่อนเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยปัจจัยสำคัญคือ “คน” ที่จะต้องได้รับการปลูกฝังและตระหนักถึงความสำคัญของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกภาคส่วน (1)
ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยทั้งต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและปรับตัวไปพร้อมกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง เช่น การใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทนรถยนต์สันดาป การเพิ่มพลังงานหมุนเวียน และการปรับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรับมือกับภัยธรรมชาติ เช่น การปลูกต้นไม้ในเมือง เพื่อบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065) โดยเฉพาะการปรับตัว (Adaptation) ที่มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากไทยมีความเสี่ยงสูงต่อภัยธรรมชาติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (3)
อย่างไรก็ตาม มาตรการสำคัญที่สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซได้คือ การเก็บภาษี เช่น การเก็บภาษีจากการปล่อยคาร์บอน (Carbon Tax) หรือการกำหนดขีดจำกัดการปล่อยคาร์บอน (Cap and Trade) ซึ่งจะกระตุ้นให้ธุรกิจลดมลพิษ และสร้างรายได้ให้แก่ภาครัฐ (3)
โครงการ “สระบุรีแซนด์บ็อกซ์” ถือเป็นตัวอย่างของเมืองคาร์บอนต่ำต้นแบบในประเทศไทย ซึ่งเริ่มดำเนินการในปี 2566 มุ่งเน้น 5 ประเด็นหลัก ได้แก่ การใช้พลังงานสะอาด อุตสาหกรรมสีเขียว การจัดการของเสีย เกษตรคาร์บอนต่ำ และการเพิ่มพื้นที่สีเขียว โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 5 ล้านตัน ภายในปี 2570 (4)
นอกจากนี้ การนำ “นวัตกรรม” มาใช้ยังมีบทบาทสำคัญในการลดต้นทุนการผลิตและส่งเสริมเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ เช่น การกำหนดราคาคาร์บอนที่เหมาะสมและสร้างตลาดคาร์บอนเครดิต ความโปร่งใสในกระบวนการเหล่านี้จะช่วยลดความกังวลเรื่อง “การฟอกเขียว” ซึ่งการกำหนดราคาสำหรับการปล่อยคาร์บอน สามารถทำได้ในรูปแบบ “ภาษีคาร์บอน” หรือ “การซื้อขายสิทธิในการปล่อยคาร์บอน” ซึ่งมีการใช้กันอย่างแพร่หลายใน 39 ประเทศ และรัฐบาลท้องถิ่นอีก 33 แห่ง (5) ตัวอย่างเช่น สหภาพยุโรปที่กำหนดราคาคาร์บอนสูงถึง 100 ดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 10 ดอลลาร์ต่อตัน (3)
อีกหนึ่งความท้าทายคือ “การสร้างตลาดคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจ” ตัวอย่างโครงการ T-VER ของไทยที่ดำเนินการโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. เพื่อส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านการซื้อขายคาร์บอนเครดิต จากข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 17 ก.พ. 68 มีปริมาณการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในปีงบประมาณ 2568 อยู่ที่ 110,394 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq) มูลค่า 18,457,039 บาท และการซื้อขายสะสมทั้งหมด 3,598,457 ตัน คิดเป็นมูลค่ารวม 322,614,985 บาท ซึ่งสะท้อนว่าตลาดคาร์บอนเครดิตของประเทศไทยมีแนวโน้มที่ดี (6)
หากจะกล่าวถึงการเปลี่ยนผ่านสู่เมืองคาร์บอนต่ำจากมุมมองของต่างประเทศ ตัวอย่างจากญี่ปุ่น สามารถสะท้อนถึงแนวทางการพัฒนาเมืองที่มีความสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อมและสังคมได้อย่างชัดเจน การสร้างพื้นที่สีเขียวในเมืองนั้นไม่เพียงแต่ช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจก แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการลดมลพิษและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอีกด้วย นอกจากนี้ เทคโนโลยีพลังงานไฮโดรเจนและชีวมวลที่ญี่ปุ่นนำมาใช้ยังเป็นแนวทางที่ไทยสามารถศึกษาและปรับใช้ได้ โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมที่มีศักยภาพสูงในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ (7)
อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่า ในอนาคตกว่า 70% ของประชากรโลกจะอาศัยอยู่ในเมือง ซึ่งจะทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นถึง 70% ภายในปี พ.ศ. 2593 หากไม่มีการดำเนินการลดการปล่อยก๊าซ และเมืองอาจเผชิญกับภัยพิบัติที่รุนแรงขึ้น เช่น พายุ แผ่นดินไหว และน้ำท่วม ทำให้ประชาชนมีความเสี่ยงมากกว่า 1,500 ล้านคนและมีความเสียหายมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ การลดคาร์บอนในเมืองจึงเป็นทางออกที่สำคัญ โดยการจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจกและพัฒนาแผนลดการปล่อยก๊าซ (8)
ในขณะที่บทบาทของภาคเอกชนในการสนับสนุนสังคมคาร์บอนต่ำผ่านการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น “ตราสารหนี้สีเขียว” (Green Bonds) และตราสารหนี้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-linked Bonds) ที่กำลังมีความสำคัญมากขึ้น เพราะช่วยระดมทุนสำหรับโครงการที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน อีกทั้งการสร้างมาตรฐานความโปร่งใสและลดการฟอกเขียวจะเสริมความมั่นใจให้นักลงทุน ส่งเสริมการลงทุนในโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมคาร์บอนต่ำในระยะยาว (5)
ความท้าทายการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำของประเทศไทยยังต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่มากขึ้น โดยเฉพาะการสร้างความเข้าใจในระดับชุมชนเมืองหรือเขตเมืองในการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตลอดจนการเพิ่มการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาดจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ไทยสามารถแข่งขันในเวทีโลก และสามารถสร้างอนาคตที่ยั่งยืนได้ (8)
“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”
แหล่งที่มา :
(1) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.), สู่การเป็นเมืองคาร์บอนต่ำ – หลักคิดและแนวทางในการขับเคลื่อน
(2) iGreen, ‘ภาวะโลกปั่นป่วน’ เทรนด์โลก 2025 ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม
(3) สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ : TDRI), ปรับประเทศไทย…ไปสู่เศรษฐกิจ-สังคมคาร์บอนต่ำ
(4) ไทยรัฐออนไลน์, Low Carbon : 4 แนวทางผลักดันประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน
(5) สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI : Thailand Development Research Institute), “5 คีย์” สู่เศรษฐกิจ-สังคมคาร์บอนต่ำ
(6) องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)
(7) สถาบันอนาคตไทยศึกษา (Thailand Future Foundation), Low Carbon Society : ญี่ปุ่นกับสังคมคาร์บอนต่ำ
(8) ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC : Research & Innovation for Sustainability Center), เมืองคาร์บอนต่ำคืออะไร…แล้วเราจะเริ่มได้อย่างไร?