ถึงเวลาปฏิรูประบบอาหาร กุญแจดอกสำคัญต่อสู้โลกเดือด
โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตอาหารที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ประชากรบางกลุ่มขาดแคลนอาหารทั้งในปริมาณและคุณค่าทางโภชนาการ ในปี 2566 จำนวนคนที่เผชิญความไม่มั่นคงด้านอาหารเพิ่มขึ้นเป็น 345 ล้านคนใน 79 ประเทศ จาก 135 ล้านคนใน 53 ประเทศก่อนเกิดโรคระบาด ขณะนี้หลายคนต้องทนทุกข์จากภาวะทุพโภชนาการซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหากวิกฤตนี้ไม่ได้รับการแก้ไข (1)
ในปัจจุบันประชากรโลกมีมากถึง 7,900 ล้านคน และคาดว่าในปี 2593 ประชากรจะเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 ล้านคน การผลิตอาหารในรูปแบบปัจจุบันยังเน้นการเลี้ยงสัตว์และปลูกพืชสำหรับอาหาร ซึ่งต้องใช้พื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เทียบได้กับขนาดพื้นที่ของประเทศไทย 12 ประเทศ นี่คือเหตุผลที่ต้องปฏิรูประบบอาหารเพื่อปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตอาหารให้เกิดความยั่งยืน และสามารถรองรับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นในอนาคต (2)
วิกฤตอาหารเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ความขัดแย้งทางการเมือง สงคราม ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และราคาอาหารที่สูงขึ้น โดยวิกฤตปัจจุบันได้รับผลกระทบจากสงครามในยูเครนและการระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ราคาอาหาร เชื้อเพลิง และปุ๋ยพุ่งสูงขึ้น นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้เกิดสภาพอากาศสุดขั้ว เช่น ภัยแล้ง การขาดแคลนน้ำ ไฟไหม้ และน้ำท่วม ส่งผลกระทบต่อการผลิตอาหาร และความมั่นคงทางอาหารในหลายภูมิภาค (1)
ปัญหาเหล่านี้ทวีความรุนแรง ในขณะที่อาหารกว่าหนึ่งในสามของการผลิตทั่วโลกต้องสูญเปล่า หรือคิดเป็นปริมาณมหาศาลถึง 1,300 ล้านตันต่อปี ความสูญเสียนี้เกิดขึ้นในทุกประเภทอาหาร ไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์นม อาหารทะเล หรือธัญพืช โดยบางส่วนเสียหายตั้งแต่ยังอยู่ในฟาร์ม บางส่วนเน่าเสียระหว่างขนส่ง และอีกจำนวนมากถูกทิ้งจากโรงแรม ร้านอาหาร และครัวเรือน ปัญหานี้ไม่เพียงสะท้อนถึงการสูญเสียทรัพยากรอันมีค่าเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศในวงกว้าง (3)
การผลิตอาหารต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล ทั้งพลังงานและน้ำ ตั้งแต่การเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว การขนส่ง ไปจนถึงการบรรจุหีบห่อ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่ออาหารเน่าเสียและไปจบในหลุมฝังกลบยังปล่อยก๊าซมีเทนซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่รุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ การลดขยะอาหารเพียงอย่างเดียวสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกได้ถึง 6-8% ตัวอย่างในสหรัฐอเมริกาเพียงแห่งเดียว การผลิตอาหารที่สูญเปล่าก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมูลค่าเทียบเท่ากับรถยนต์ 32.6 ล้านคัน (3)
ระบบอาหารของโลกตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการบริโภค มีส่วนสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึงหนึ่งในสาม โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมที่คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 25% ของการปล่อยก๊าซทั้งหมด ในขณะที่สหประชาชาติได้ประกาศว่า พันธกรณีระดับโลกในปัจจุบันยังไม่เพียงพอต่อการบรรลุเป้าหมายการจำกัดอุณหภูมิโลกไว้ที่ 1.5°C (4)
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคเป็นกลยุทธ์สำคัญในการแก้ปัญหา โดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้วซึ่งมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอาหารในระดับสูง การลดการบริโภคอาหารที่มีคาร์บอนฟุตพริ้นท์สูง เช่น เนื้อแดงและผลิตภัณฑ์จากนม สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 29% (4)
นอกจากนี้ การควบคุมการบริโภคมากเกินไปในภูมิภาคที่ไม่มีปัญหาความมั่นคงทางอาหารก็เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม การสร้างการเปลี่ยนแปลงต้องอาศัยแนวทางที่หลากหลาย หนึ่งในนั้นคือการพัฒนา “หลักการออกแบบทางเลือก” (Choice Architecture) ที่ออกแบบสภาพแวดล้อมให้ผู้คนเลือกทำสิ่งที่ยั่งยืนได้ง่ายขึ้น ควบคู่ไปกับการสร้างแรงจูงใจทางการเงินและการรณรงค์ให้ข้อมูล รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในการจัดการขยะอาหาร และการรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพ (4)
อีกหนึ่งวิธีคือ การเปลี่ยนไปพึ่งแหล่งโปรตีนที่ยั่งยืนและสมดุลมากขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มการบริโภคโปรตีนจากพืชควบคู่กับการบริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์ในระดับที่พอเหมาะ กระแส Flexitarian (คำที่ผสมระหว่าง Flexible และ Vegetarian คือการรับประทานมังสวิรัติแบบยืดหยุ่น เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืชเป็นหลัก) จึงเกิดขึ้น โดยเน้นการบริโภคอาหารที่มีส่วนผสมของโปรตีนจากพืชสูงขึ้น โดยไม่ตัดสินใจเป็นมังสวิรัติหรือวีแกน ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ตอบสนองต่อการเข้าใจ “เขตจำกัดของโลก” หรือ “Planetary Boundaries” และความสำคัญของการรักษาสุขภาพในระยะยาว (Healthspan) (2)
การเปลี่ยนแปลงในการบริโภคอาหารดังกล่าวจะช่วยลดภาระทางสุขภาพ โดยมีการคาดการณ์ว่าหากมนุษย์หันมาบริโภคตามไกด์ไลน์ที่เหมาะสม จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพได้ถึง 1.6 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 5.6 ล้านล้านบาท ซึ่งสามารถช่วยลดปัญหาของโรคไม่ติดต่อและภาระทางการแพทย์ในอนาคตได้อย่างมีนัยสำคัญ (2)
นอกจากการเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคเพื่อสุขภาพและความยั่งยืนแล้ว การปรับวิธีการทำเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพสูงขึ้นก็มีบทบาทสำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพเช่นกัน โดยเฉพาะการจัดการปศุสัตว์แบบใหม่ เช่น การเปลี่ยนสูตรอาหารสัตว์ การเพิ่มอาหารเสริม และการปรับปรุงพันธุ์อย่างมีเป้าหมาย เพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากกระบวนการหมักในลำไส้ของสัตว์ นอกจากนี้ การใช้ปุ๋ยไนโตรเจนอย่างมีประสิทธิภาพและการใช้ถ่านชีวภาพ (ไบโอชาร์) ก็ช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน และกักเก็บคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ (4)
อีกหนึ่งวิธีที่ได้รับการแนะนำคือ การเพาะปลูกแบบไม่ไถพรวนดิน (No-till Farming) ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มการกักเก็บคาร์บอนในดิน โดยการขุดหลุมหยอดเมล็ดแทนการไถพรวน การไม่ไถดินช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ ประหยัดต้นทุนเครื่องจักร และลดมลพิษจากการใช้เชื้อเพลิงดีเซล แม้ว่าผลผลิตจะลดลงในช่วงแรก แต่ดินที่ไม่ถูกรบกวนจะช่วยเพิ่มการเติบโตของพืชในระยะยาว ซึ่งวิธีนี้สามารถ +ลดก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 30% (5)
การประชุมนวัตกรรมการเกษตรและอาหารโลก 2024 (WAFI 2024) ที่กรุงปักกิ่ง ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของนวัตกรรมในการพัฒนาระบบการเกษตรที่ยืดหยุ่นและรับมือกับความท้าทายจากสภาพภูมิอากาศ โดยแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เช่น เกษตรกรรมอัจฉริยะ การผสมพันธุ์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และระบบปศุสัตว์และสัตว์น้ำที่ยั่งยืน (6)
ในขณะเดียวกัน เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วจากวิกฤตโลกเดือด เช่น ความแห้งแล้ง น้ำท่วม และคลื่นความร้อน ย้อนกลับมาส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผลผลิตทางการเกษตร ปศุสัตว์ และการประมง นำไปสู่การหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทานอาหารและราคาอาหารที่พุ่งสูงขึ้น การแก้ปัญหาต้องอาศัยมาตรการเร่งด่วน เช่น การให้ความช่วยเหลือทางการเงิน การลดภาษีการนำเข้าอาหาร ควบคู่ไปกับนวัตกรรม เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ การจัดการขยะอาหารและการสูญเสียตลอดห่วงโซ่การผลิตก็เป็นส่วนสำคัญในการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (1)
ในประเทศไทย ภาคเกษตรกรรมเผชิญความเสี่ยงสูงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น เอลนีโญ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อภาคเกษตรมูลค่ากว่า 2.85 ล้านล้านบาท หากไม่ได้รับการแก้ไข ภาคใต้และภาคตะวันออกเสี่ยงจะได้รับผลกระทบมากที่สุดในปี 2588 ส่งผลต่อการผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรของไทย ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกอาหารรายใหญ่ของโลก เพื่อรับมือกับปัญหานี้จำเป็นต้องสนับสนุนการปรับเปลี่ยนการผลิต การให้ความรู้เพื่อลดผลกระทบ การเลือกปลูกพืชที่เหมาะสมกับปริมาณน้ำ และการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาคุณภาพผลผลิต (1)
การปฏิรูประบบอาหารไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่จะช่วยรักษาโลกใบนี้ให้น่าอยู่สำหรับคนรุ่นต่อไป แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงอาจดูเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ แต่ทุกการกระทำ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่เกษตรกร ผู้ผลิต ผู้บริโภค ไปจนถึงภาครัฐและองค์กรระหว่างประเทศ ด้วยการผสมผสานนวัตกรรมทางการเกษตร การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค และการปฏิรูประบบอาหารที่สามารถสร้างยั่งยืน ล้วนมีความสำคัญในการสร้างอนาคตที่ดีสำหรับทุกคน
“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”
แหล่งที่มา :
(1) iGreen, ภาวะโลกร้อนเขย่าวิกฤตอาหารโลก ผลผลิตลด คนหิวโหย อันตรายถึงชีวิต
(2) iGreen, ปลุกกระแส ‘ปฏิรูประบบอาหาร’ ลดก๊าซมีเทนรับมือ Climate Change
(3) Fight climate change by preventing food waste., WWF.
(4) The food system is a vital part of the climate solution., Global Food Security : The UK cross-government programme on food security.
(5) SDG Move : Moving Towards Sustainable Future., วิธีการเพาะปลูกแบไม่ไถพรวนดิน ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเพิ่มปริมาณคาร์บอนที่เก็บในดิน
(6) China Focus : Chinese, foreign experts call for agricultural sci-tech innovation to combat climate change., XinhuaNet.