ในยุคที่ขยะล้นเมืองและปัญหาสิ่งแวดล้อมกลายเป็นเรื่องใหญ่ทั่วโลก กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก สามารถหาวิธีการจัดการขยะได้อย่างสร้างสรรค์และเป็นมิตรกับทั้งคนและโลก เมืองนี้ไม่ได้มองว่าขยะคือภาระ แต่เป็นทรัพยากรที่สามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นพลังงานสะอาดได้ และยังสร้างความสนุกสนานให้กับผู้คนในเวลาเดียวกัน (1)
               เป้าหมายใหญ่ของโคเปนเฮเกนคือ การเป็นเมืองปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ (Carbon Neutral) ภายในปี 2025 (พ.ศ. 2568) ซึ่งนั่นทำให้ “CopenHill” (โคเปนฮิลล์) หรือ “Amager Bakke” โรงงานผลิตพลังงานจากขยะที่ใหญ่ที่สุดและสะอาดที่สุดที่มนุษย์เคยสร้าง กลายเป็นหัวใจสำคัญของแผนการนี้ (1)
               CopenHill ไม่ใช่แค่โรงเผาขยะธรรมดา แต่มีนวัตกรรมสุดล้ำ เป็นพื้นที่ที่ดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวและชาวเมืองให้มาสัมผัสความสนุกสนานแบบยั่งยืน ภายในโรงงานมีเนินสกีเทียมที่เล่นได้ตลอดทั้งปี เส้นทางวิ่ง และผนังปีนผาที่สูงที่สุดในโลกถึง 100 เมตร นอกจากนี้ยังปลูกต้นไม้บนดาดฟ้า เปลี่ยนโรงงานที่ดูออกจะน่าเบื่อให้กลายเป็นจุดเช็กอินสุดคูล การออกแบบนี้มาจากแนวคิด “Hedonistic Sustainability” หรือการผสมผสานความสุขกับความยั่งยืน เพราะ Bjarke Ingels สถาปนิกผู้ออกแบบเชื่อว่า ความยั่งยืนไม่จำเป็นต้องน่าเบื่ออีกต่อไป (1)
               ในแง่การทำงาน CopenHill คือโรงงานเผาขยะที่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สามารถเผาขยะได้ถึง 485,000 ตันในทุก ๆ ปี และเปลี่ยนพลังงานจากขยะเหล่านี้ให้กลายเป็นไฟฟ้าป้อนครัวเรือนได้กว่า 30,000 ครัวเรือน และความร้อนที่ส่งตรงถึงบ้านเรือนกว่า 72,000 ครัวเรือน สิ่งที่น่าทึ่งกว่าก็คือไม่มีสารพิษหรือมลพิษเล็ดลอดออกมาจากปล่องโรงงาน มีเพียงไอน้ำสะอาดที่ลอยออกไปในอากาศเท่านั้น (1)
               หนึ่งในจุดเด่นของ CopenHill คือการเชื่อมโยงระบบผลิตพลังงานกับระบบทำความร้อนเขตพื้นที่ (District Heating System) ที่ครอบคลุมทั้งเมืองโคเปนเฮเกน ขณะที่ก๊าซไอเสียจากการเผาขยะถูกทำให้เย็นลงโดยใช้เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน พลังงานความร้อนที่เหลือจึงถูกส่งตรงไปยังบ้านเรือนในเมืองถึง 99% ทำให้เดนมาร์กสามารถลดการใช้ก๊าซธรรมชาติในฤดูหนาวลงได้อย่างมาก (1)
               การสร้างโรงงานในพื้นที่ใกล้ชุมชนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่โคเปนเฮเกนสามารถรับมือได้อย่างชาญฉลาด โดย CopenHill ถูกออกแบบให้กลมกลืนกับวิถีชีวิตของผู้คน ด้วยพื้นที่สันทนาการบนดาดฟ้า เช่น ลานสกีและสวนสาธารณะ ซึ่งไม่เพียงลดความขัดแย้ง แต่ยังทำให้ประชาชนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของโครงการอย่างแท้จริง ตั้งแต่การจัดการเศษอาหารไปจนถึงขยะอันตราย ก่อนนำเข้าสู่ระบบการเผาที่สามารถนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (2)
               CopenHill ยังเป็นตัวอย่างของการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพด้วยการคัดแยกขยะที่เข้มงวดตั้งแต่แหล่งกำเนิด ก่อนนำเข้าสู่ระบบการเผาที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ระบบ DynaGrate® ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้ ลดมลพิษ และกู้โลหะจากขยะเพื่อรีไซเคิลได้อย่างคุ้มค่า โดยในปี 2020 CopenHill สามารถเปลี่ยนขยะจำนวน 599,000 ตันให้กลายเป็นพลังงานความร้อนและไฟฟ้า ซึ่ง 23% ของขยะทั้งหมดมาจากเชื้อเพลิงขยะที่ถูกเผา ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีนัยสำคัญ (2)
               อีกทั้งเทคโนโลยีทำความสะอาดก๊าซไอเสียยังช่วยลดสารตกค้างที่เป็นของแข็งถึง 45% และสามารถกู้น้ำคืนได้ 100 ล้านลิตรต่อปี รวมทั้งยังสามารถนำขี้เถ้าจากการเผา 100,000 ตัน มาใช้เป็นวัสดุในการทำถนนได้อีกด้วย (1)(2)
               โรงงานแห่งนี้ไม่ได้จำกัดการจัดการขยะเฉพาะในเดนมาร์ก แต่ยังรับขยะจากประเทศอื่น ๆ ด้วย เช่น สหราชอาณาจักร ที่มีปัญหาหลุมฝังกลบล้น ขยะเหล่านั้นถูกนำมาเปลี่ยนเป็นพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดย CopenHill สามารถเผาขยะได้เฉลี่ยถึง 560,000 ตันต่อปี และยังมีแผนติดตั้งระบบดักจับคาร์บอนที่คาดว่าจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 500,000 ตันต่อปี ซึ่งเป็นการยกระดับความยั่งยืนไปอีกขั้น (3)
               อย่างไรก็ดี ความสำเร็จของเดนมาร์กไม่ได้อยู่แค่โรงงานเผาขยะ เรื่องเล็ก ๆ อย่างการลดการใช้พลาสติกก็เป็นจุดที่ทำให้คนทั้งโลกต้องยกนิ้วให้ ตั้งแต่ปี 1993 เดนมาร์กได้ออกกฎหมายเก็บภาษีถุงพลาสติก ทำให้ปัจจุบันคนเดนมาร์กใช้ถุงพลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้งเพียง 4 ใบต่อปี และใช้ถุงซ้ำมากขึ้นอย่างน่าประทับใจ การรีไซเคิลขวดและกระป๋องก็เป็นอีกเรื่องที่คนเดนมาร์กทำจนเป็นนิสัย ด้วยระบบคืนเงินที่ช่วยสร้างแรงจูงใจให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการลดขยะ (4)
               โพลสำรวจในปี 2017 พบว่า ชาวเดนมาร์กกว่า 68% สนับสนุนแนวทางการรีไซเคิลพลาสติกและมองว่าเป็นเรื่องดี โครงการนำถุงพลาสติกกลับมาใช้ซ้ำของซุปเปอร์มาร์เก็ตยังสร้างความสำเร็จจนประเทศอื่น ๆ ต้องทำตาม ซึ่งเป็นอีกตัวอย่างของการสร้างสรรค์ที่ทำให้เดนมาร์กเป็นผู้นำด้านการลดขยะ (4)
               CopenHill จึงไม่ได้เป็นเพียงโรงงานเผาขยะธรรมดา แต่เป็นสัญลักษณ์ของการจัดการเมืองที่มองไปข้างหน้า โคเปนเฮเกนแสดงให้โลกเห็นว่า การจัดการขยะสามารถกลายเป็นโอกาสในการสร้างพลังงาน สร้างความสนุก และเชื่อมโยงชุมชนเข้าด้วยกันได้อย่างน่าทึ่ง เดนมาร์กจึงกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกเมืองทั่วโลกมุ่งสู่ความยั่งยืนในแบบที่ไม่เคยรู้สึกเบื่อ

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
(1) National Geographic, Sustainability, โคเปนเฮเกน (Copenhagen) เมืองที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานจากโรงเผาขยะที่สะอาดและสนุกที่สุดในโลก, โคเปนเฮเกน เส้นทางสู่การปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ ภายในปี 2025 ด้วยการสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว และ CopenHill โรงงานผลิตพลังงานจากขยะที่ปลอดมลพิษที่สุดในโลก
(2) Waste-to-Energy and Social Acceptance : Copenhill WtE plant in Copenhagen., IEA Bioenergy : Task 36, IEA Bioenergy : Technology Collaboration Programme.
(3) Amager Bakke : A Look into the Future of Waste Incineration., Business & Environment, Harvard Business School.
(4) National Geographic, Sustainability, ชีวิตคนเดนมาร์กใช้พลาสติกน้อยมาก พวกเขาทำได้อย่างไร?, ชีวิตคนเดนมาร์ก ใช้พลาสติกน้อยมาก พวกเขาทำได้อย่างไร?