ท่ามกลางสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงมากขึ้น ทั้งอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น ภัยแล้ง น้ำท่วม และภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดบ่อยและรุนแรงมากขึ้น ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลก (1) เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว การดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero หรือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ.2593 (ค.ศ. 2050) จึงเป็นพันธกิจเร่งด่วนที่ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมทั่วโลกต้องร่วมมือกันผลักดัน
               ความหวังสำคัญในการรับมือความเปลี่ยนแปลงที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นนี้คงต้องพึ่งพาการพัฒนา “เทคโนโลยีลดคาร์บอน” ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหา หนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญคือ การกักเก็บอากาศโดยตรง (Direct Air Capture: DAC) ซึ่งสามารถช่วยดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศและนำไปผลิตวัสดุที่ยั่งยืน เช่น เชื้อเพลิงและคอนกรีต DAC นั้นมีความสามารถพิเศษในการลดการปล่อยมลพิษจากอุตสาหกรรมหนักและการขนส่งทางไกล แม้ว่าปัจจุบันเทคโนโลยีนี้ยังมีต้นที่ทุนสูง แต่คาดว่าด้วยการเรียนรู้จากการใช้งานจริง ต้นทุนจะค่อย ๆ ลดลงจนอยู่ในระดับที่คุ้มค่าในอนาคต (2)
               เทคโนโลยีที่โดดเด่นอีกด้านคือ การหลีกเลี่ยงการปล่อยคาร์บอน (Carbon Avoidance Technologies) ซึ่งใช้พลังงานไฟฟ้าและวัตถุดิบที่ปราศจากคาร์บอนแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในกระบวนการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม เช่น ซีเมนต์และเหล็ก เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ทันที แต่ยังลดความยุ่งยากในการจัดการคาร์บอนหลังการปล่อยออกสู่บรรยากาศ (2)
               พลังงานหมุนเวียนและการจัดเก็บพลังงานระยะยาว (Long-Duration Energy Storage: LDES) เป็นอีกทางเลือกและเป็นหัวใจสำคัญของระบบพลังงานสะอาด ซึ่ง LDES ช่วยกักเก็บพลังงานแสงอาทิตย์และลมในระยะยาวเพื่อนำมาใช้ในช่วงที่การผลิตพลังงานไม่ต่อเนื่อง เทคโนโลยีนี้ยังช่วยลดต้นทุนพลังงานไฟฟ้าและเพิ่มเสถียรภาพของโครงข่ายพลังงานในระดับโลก (2)
               ในขณะเดียวกันที่นวัตกรรมการจัดการขยะ อย่างเครื่องแปลงเศษอาหารเป็นดินอินทรีย์ และตู้รับคืนขยะรีไซเคิลอัตโนมัติก็สามารถช่วยลดก๊าซเรือนกระจกจากขยะต้นทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างในประเทศไทย เช่น เครื่องแปลงเศษอาหารเป็นปุ๋ยใน 24 ชั่วโมง ไม่เพียงลดปริมาณขยะมูลฝอย แต่ยังลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากหลุมฝังกลบอีกด้วย (3)
               อีกหนึ่งเทคโนโลยีใหม่ที่มีศักยภาพสูงคือ พลังงานไฮโดรเจนสะอาด ซึ่งจะต้องเพิ่มการผลิตถึง 7 เท่าภายในปี 2593 เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 (4) ขณะที่แหล่งพลังงานสะอาดที่รวมถึงพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมมีต้นทุนลดลงอย่างมากจากการพัฒนาของเทคโนโลยี ทำให้สามารถแข่งขันกับพลังงานฟอสซิลได้อย่างมีประสิทธิภาพ (5)
               ในภาคอุตสาหกรรม Green Steel ก็เป็นอีกนวัตกรรมที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง โดยโครงการ HybriT ในสวีเดนได้พัฒนากระบวนการผลิตเหล็กแบบใหม่ที่ใช้ไฮโดรเจนแทนถ่านหิน ซึ่งถือเป็นการพลิกโฉมการผลิตเหล็กในระดับโลก กระบวนการดังกล่าวช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้สวีเดนสามารถพัฒนาเหล็กรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า เหล็กกล้าสีเขียว (Green Steel) ซึ่งเป็นการผลิตเหล็กโดยไม่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลใด ๆ ทั้งสิ้น (6)
               ปัจจุบัน HybriT ยังได้พัฒนาโรงเก็บไฮโดรเจนต้นแบบที่ลึกกว่า 30 เมตรใต้ดิน ซึ่งสามารถกักเก็บไฮโดรเจนได้ถึง 100 ลูกบาศก์เมตร และมีแผนเพิ่มความจุเป็น 120,000 ลูกบาศก์เมตรในอนาคต สวีเดนคาดการณ์ว่าเทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในประเทศลงได้ถึง 10% และตั้งเป้าส่งออก Green Steel สู่ตลาดอุตสาหกรรมในปี 2569 (6)
               อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญของเทคโนโลยีลดคาร์บอน คือการพัฒนาจนสามารถนำมาใช้งานในเชิงพาณิชย์ได้อย่างแพร่หลาย โดยรายงานของ International Energy Agency (IEA) ระบุว่า 35% ของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่จำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีใหม่ที่ยังไม่ได้เปิดตัวในตลาด (5)
               ความก้าวหน้าและความสำเร็จของเทคโนโลยีเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการสนับสนุนจากภาครัฐและภาคเอกชน เช่น การกำหนดราคาคาร์บอน การสนับสนุนทางการเงิน และการกำหนดมาตรฐานที่ส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ ตัวอย่างเช่น โครงการ ReFuelEU Aviation ของสหภาพยุโรปที่บังคับใช้สัดส่วนเชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืนในสนามบิน (SAF) เพื่อกระตุ้นความต้องการและการลงทุน (5)
               สำหรับในประเทศไทย แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566–2570) ที่ได้กำหนดยุทธศาสตร์เพื่อก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เน้นการใช้ “นวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งอนาคต” สร้างความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมและบริการ พร้อมส่งเสริมการลดมลพิษและความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมผ่านการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม เช่น การรีไซเคิลและพลังงานสะอาด เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน และการลดก๊าซเรือนกระจกให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด (7)
               อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยียังมีบทบาทสำคัญในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้ระบบสารสนเทศดูแลป่าไม้และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้แผนฯ ดังกล่าวยังมุ่งลดปัญหาสิ่งแวดล้อมเร่งด่วน เช่น การลดขยะพลาสติกและฝุ่น PM2.5 และการลดก๊าซเรือนกระจกลง 20-25% ภายในปี 2573 ตามความตกลงปารีส (7)
               ความท้าทายการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมลพิษที่เพิ่มขึ้น นอกจากการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง การนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาใช้ และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจะช่วยสร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม หากผลักดันสำเร็จได้ตามเป้าหมาย ประเทศไทยก็จะเป็นผู้นำในภูมิภาคและสามารถสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นถัดไปได้ (7)

“ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน”

แหล่งที่มา :
(1) Droughts and floods in a changing climate and implications for multi-hazard urban planning., ScienceDirect.
(2) These new technologies will accelerate the transition to net zero., Emerging Technologies., World Economic Forum.
(3) กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม, 3 เทคโนโลยีลดคาร์บอนจาก..ขยะ
(4) Delivering the climate technologies needed for net zero., McKinsey Sustainability.
(5) Why climate tech is key to net zero., CFA Institute.
(6) มูลนิธิสืบนาคะเสถียร, รวม 5 นวัตกรรมสิ่งแวดล้อม พร้อมกู้โลกจาก Climate Change.
(7) ฐานเศรษฐกิจ, ทิศทางขับเคลื่อน “สังคมคาร์บอนต่ำ” ภายใต้แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13